สถาบันวิจัยและพัฒนา มรภ.สวนสุนันทา
ร่วมมือกับ กลุ่มหลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงการบริหารงานภาครัฐและกฎหมายมหาชน
(ปรม.) รุ่นที่ 23
ร่วมหาทางออกแก้ปัญหาจากเหตุบริษัทเอกชนได้นำเข้าพันธุ์ปลาหมอคางดำจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย
ตั้งแต่ปี 2553
จนเกิดการแพร่พันธุ์กระจายในแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างรวดเร็วส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำท้องถิ่นและเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์น้ำมาอย่างต่อเนื่อง
และในอนาคตถ้าไม่สามารถควบคุมจำนวนปลาหมอคางดำได้
อาจแพร่กระจายไปสู่แหล่งน้ำจืดและชายฝั่งมากขึ้น สร้างผลกระทบต่อทรัพยากรสัตว์น้ำท้องถิ่น
และกระทบต่อการทำประมงอีกด้วย
พันตำรวจเอก ทศพล โชติคุตร์
ประธานกลุ่มหลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูง การบริหารงานภาครัฐและกฎหมายมหาชน (ปรม.)
รุ่นที่ 23 กล่าวว่า
จากการศึกษารวบรวมข้อมูลและรับฟังจากภาคีเครือข่ายต่างๆ
ตอนนี้เราไม่เล็งโทษใครทั้งนั้น แต่เราจะเดินหน้าแก้ปัญหา
โดยขอความร่วมมือทั้งภาครัฐและบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้อง
เพื่อสนับสนุนนักวิชาการที่มีความรู้
ตลอดจนแหล่งเงินทุนในการรับซื้อที่ราคาสูงกว่าที่เคยซื้อในตลาดเช่นที่ผ่านๆ มา
และสนับสนุนการต่อยอดองค์ความรู้ในการแปรรูปเพิ่มมูลค่าเพื่อไปจำหน่ายโดยอาศัยช่องทางการตลาดจากส่วนต่างๆ
ไปยังผู้บริโภคเพื่อเป็นการแก้ปัญหาในเบื้องต้น
นอกจากนี้ก็ยินดีจะช่วยประสานในการยื่นหนังสือข้อร้องเรียนไปยัง ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาลอีกทางหนึ่ง
เพื่อเป็นการแก้ปัญหาในเชิงรุกย้ำให้ภาครัฐเห็นความสำคัญของเรื่องนี้
โดยจะผลักดันให้เป็นวาระแห่งชาติต่อไป
และพร้อมกันนี้ คณะนักศึกษา ปรม.รุ่นที่ 23
ยังร่วมมือกับสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ในการจัดทำ
“โครงงานปลาหมอคางดำจากวิกฤตสู่โอกาสสร้างรายได้”
เพื่อแก้ปัญหาในเรื่องนี้อย่างจริงจังเพื่อพลิกวิกฤติเป็นโอกาสสร้างรายได้แก้ปัญหาปากท้องให้กับชุมชนทั้งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบได้อย่างยั่งยืน
ด้าน รศ.ดร.รจนา จันทราสา
ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา กล่าวเสริมว่า
การทำโครงงานปลาหมอคางดำจากวิกฤตสู่โอกาสสร้างรายได้
เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาปลาหมอคางดำโดยสามารถดำเนินการได้อย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ
กลางน้ำ ปลายน้ำ เนื่องจากสถาบันวิจัยและพัฒนา (www.ird.ssru.ac.th)
มีทีมนักวิจัยและอาจารย์ที่มีองค์ความรู้หลายๆ
ฝ่ายที่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาครอบคลุมรอบด้าน เช่น
อาจารย์ทางด้านนิติศาสตร์ที่จะช่วยร่าง พ.ร.บ.หรือการแก้ไขปัญหาทางด้านกฎหมาย
อาจารย์ทางด้านศิลปกรรม ที่จะช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้าน product design เรามีทีมถ่ายทอดองค์ความรู้เทคโนโลยีและมีอุปกรณ์เครื่องมือส่งมอบให้กับชุมชนอยู่แล้ว
ดังนั้น มองว่าถ้าการแก้ปัญหาดังกล่าวได้อย่างตรงจุด มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
ต้องเป็นหัวเรือใหญ่ในการจัดการ
โดยเฉพาะเรื่องการจัดตั้งโรงงานต้นแบบให้กับชาวบ้านในการรับซื้อปลาหมอคางดำ
ซึ่งมีประธานวิสาหกิจชุมชนเป็นผู้ดูแลเรื่องของการรับซื้อปลาหมอคางดำ
เพื่อนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ
สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับชุมชนเพื่อการบริโภคในชุมชนและนำผลผลิตออกไปจำหน่ายได้เอง
ซึ่งวิธีการนี้เป็นการแก้ปัญหาปลายน้ำที่จะช่วยประชาชนได้เร็วที่สุด
นายปัญญา โตกทอง
ผู้ประกอบการฟาร์มเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่แพรกหนามแดง อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม
กล่าวว่า ช่วงประมาณปี 54
เริ่มพบการระบาดของปลาหมอคางดำชัดเจนบริเวณ ยี่สาร แพรกหนามแดง
และมีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันก็ 10 กว่าปีมาแล้ว
โดยก่อนหน้านี้เมื่อปี 47
ชาวบ้านได้รวมตัวกันไปร้องต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
พร้อมเสนอแนวทางในการแก้ปัญหา
โดยการสร้างแรงจูงใจด้วยวิธีการรับซื้อปลาหมอคางดำที่ชาวบ้านจับได้เพื่อเป็นการช่วยเหลือเยียวยาในเบื้องต้น
และอีกวิธีคืออนุญาตให้ใช้เครื่องมือประมงที่ผิดกฎหมายพร้อมทั้งขอความร่วมมือบุคลากรจากหน่วยงานที่มีกำลังพล
เช่น ทหารหรือนักโทษชั้นดีเพื่อล้อมกวาดจับให้ได้เป็นจำนวนมากที่สุด
ตลอดจนปล่อยพันธุ์ปลานักล่า เช่น ปลากระพง และปลานักล่าอื่นๆ
เพื่อช่วยอีกแรงแต่ก็ยังติดปัญหาที่เป็นเงื่อนไขซึ่งชาวประมงในพื้นที่ไม่สามารถปฏิบัติตามพร้อมกันได้ในทุกขั้นตอน
ทำให้การแก้ไขไม่ประสบผลสำเร็จ
จนนำมาสู่การหาข้อสรุปในเวทีรับฟังความคิดเห็นและหาแนวทางแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำเมื่อวันที่
25 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
โดยได้มีการสรุปปัญหาตลอดจนแนวทางในการแก้ปัญหาดังกล่าวรวม 17 ข้อ
ซึ่งได้นำมาเสนอเพื่อเป็นข้อมูลให้กับคณะทำงาน“โครงงานปลาหมอคางดำจากวิกฤตสู่โอกาสสร้างรายได้”
เพื่อสรุปและร่วมกันหาทางออกร่วมกันต่อไป
นอกจากนี้ ปรม. รุ่นที่ 23 ยังได้คำแนะนำจาก ผศ.ปัณรส มาลากุล ณ อยุธยา
อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ปรึกษากลุ่มโครงงานปลาหมอคางดำ
โดยได้เสนอแนวทางเพื่อหาทางออกว่า “สิ่งที่ทางคณะนักศึกษา
มองถึงแนวทางในการแก้ปัญหาเรื่องปลาหมอคางดำที่เคยถูกมองว่าเป็นเป็นเพียงปัญหาของชาวบ้าน
แต่แท้จริงเมื่อเราเข้าไปศึกษาและดูจนเห็นจริงว่ามีระบาดสร้างความเสียหาย
อีกทั้งยังต่อยอดขยายพันธุ์สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จนทำให้การทำประมงของชาวบ้านได้รับผลกระทบขยายวงกว้างแบบต่อเนื่องด้วยเช่นกัน
แบบนี้แหละที่ที่ทางคณะนักศึกษา ปรม. รุ่นที่ 23
มองว่าเป็นปัญหาของชาติได้
และภาครัฐหรือแม้แต่ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องก็ไม่ควรอยู่เฉย รัฐอาจจะเฉยๆ
แม้จะแก้ยากก็ควรต้องแก้
ตรงนี้เราจึงพยายามคิดหาทางผลักดันเรื่องนี้ให้ได้รับการแก้ไขโดยอาศัยกลไกกระบวนการต่างๆ
ในตรวจสอบ ร้องเรียน รวมถึงทางกฎหมายอย่าง ม.157
ที่เรามองว่าน่าจะช่วยกระตุ้นให้มันเป็นปัญหาของรัฐ
หรือในช่องทางของการสื่อสารผ่านสื่อแขนงต่างๆ ให้เห็นถึงความเดือดจริงๆ
ที่ต้องการให้แก้ไขเยียวยาเพราะเราเห็นว่าชาวบ้านที่เดือดร้อนไม่ใช่จุดเริ่มต้นของปัญหา
ฉะนั้นใครก็ตามที่เป็นต้นตอของเรื่องจนลุกลามเดือดร้อนถึงชาวบ้านก็ควรต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการแก้ปัญหาร่วมกัน
รศ.ดร.รจนา กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า
“ส่วนต้นน้ำเรื่องของการแก้ไขปัญหาระดับประเทศ ทางคณะนักศึกษา ปรม.รุ่นที่ 23 จะเร่งดำเนินการผลักดันนโยบายให้เป็นวาระแห่งชาติ
โดยนำข้อเสนอและความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียไปกำหนดเป็นแนวทางเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
ซึ่งการขับเคลื่อนในส่วนนี้อาจต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร ดังนั้น
ทางมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา จึงร่วมมือกับ “กลุ่มปลาหมอคางดำ”
ซึ่งเป็นตัวแทนของนักศึกษา ปรม. รุ่นที่ 23 เข้าไปเจรจาทั้งกับหน่วยงานภาครัฐและบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้องกับปัญหาดังกล่าว
เพื่อขอสนับสนุนงบประมาณในการจัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชน
สร้างโรงงานแปรรูปขนาดเล็กให้กับชุมชน พร้อมทั้งเป็นแหล่งซื้อขายปลาหมอคางดำ
ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาที่รวดเร็วและตรงจุดที่สุด อย่างไรก็ตาม
จะต้องดำเนินการทั้งสองส่วนนี้คู่ขนานกันไป
สุดท้ายก็หวังว่าประเด็นนี้จะไม่หยุดแค่ โครงงานดังกล่าวของหลักสูตร ปรม.รุ่นที่ 23
เท่านั้น
แต่จะสามารถต่อยอดสร้างเครือข่ายผนึกกำลังกันจนแก้ปัญหาได้อย่างเป็นรูปธรรมมีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน
พลิกวิกฤติเป็นโอกาสสร้างรายได้แก้ปัญหาปากท้องให้กับชุมชนทั้งในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงครามและพื้นที่ใกล้เคียงที่ประสบปัญหาได้เช่นเดียวกัน
ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะเป้าหมายที่
1 ยุติความยากจนทุกรูปแบบในทุกที่ เป้าหมายที่ 15 ปกป้อง ฟื้นฟู และสนับสนุนการใช้ระบบนิเวศบนบกอย่างยั่งยืน
จัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน ต่อสู้การกลายสภาพเป็นทะเลทราย
หยุดการเสื่อมโทรมของที่ดินและฟื้นสภาพกลับมาใหม่
และหยุดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ เป้าหมายที่ 16 ส่งเสริมสังคมที่สงบสุขและครอบคลุม
เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ให้ทุกคนเข้าถึงความยุติธรรม
และสร้างสถาบันที่มีประสิทธิผล รับผิดชอบ และครอบคลุมในทุกระดับ และเป้าหมายที่ 17
เสริมความเข้มแข็งให้แก่กลไกการดำเนินงานและฟื้นฟูสภาพหุ้นส่วน
ความร่วมมือระดับโลกสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืน