วันที่ 15 พฤษภาคม 2567 นายชวลิต ชูขจร
ประธานกรรมการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร เป็นประธาน
พิธีลงนามสัญญาสนับสนุนโครงการ
“การศึกษาศักยภาพการเพิ่มปริมาณน้ำฝนด้วยเทคโนโลยีคลื่นเสียงความถี่ต่ำในประเทศไทย”
ระหว่าง สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) โดย ดร.วิชาญ อิงศรีสว่าง
ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร ร่วมกับ กรมฝนหลวงและการบินเกษตร โดย
นายฉันติ เดชโยธิน ผู้เชี่ยวชาญด้านวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์บรรยากาศประยุกต์ กรมชลประทาน โดย นายธเนศร์ สมบูรณ์
ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา บริษัท มดทองพัฒนา จำกัด โดย Mr.
Meng Ding Ye และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
โดย นายจงรัก วัชรินทร์รัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เพื่อทดลองนำองค์ความรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการทำฝนเทียม
ด้วยเทคโนโลยีคลื่นเสียงความถี่ต่ำจากประเทศจีน
มาประยุกต์ใช้ในประเทศไทยให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งให้แก่เกษตรกร
และลดผลกระทบการขาดแคลนน้ำในการอุปโภค - บริโภคกับผู้ใช้น้ำทั่วประเทศ
รวมถึงเป็นการเพิ่มปริมาณน้ำฝนในเขื่อน/อ่างเก็บน้ำ
ตลอดจนพื้นที่ที่มีอุปสรรคด้านการบิน โดยมี Mr.Yao Zhan Yu ผู้เชี่ยวชาญจากห้องปฏิบัติการหลักของรัฐด้านอุทกวิทยาและวิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยชิงฮวา และผู้แทนจากทั้ง 4 หน่วยงาน
เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน ณ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)
นายชวลิต ชูขจร
ประธานกรรมการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร กล่าวว่า
การลงนามในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้น
จากการที่สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก.
ได้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (LOI) ร่วมกับ ห้องปฏิบัติการหลักของรัฐด้านอุทกวิทยาและวิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยชิงฮวา สาธารณรัฐประชาชนจีน
เพื่อร่วมการศึกษาและวิจัยการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้ำในชั้นบรรยากาศ
และพัฒนาเทคโนโลยีเหนี่ยวนำฝนด้วยคลื่นเสียงความถี่ต่ำ (Acoustic Rainfall
Technology หรือ Low-Frequency Sound Wave Technology) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำฝนเทียมของกรมฝนหลวงและการบินเกษตร
โดยสามารถกำหนดจุดที่จะทำให้ฝนได้ เช่น การให้ฝนตกในเขื่อน/อ่างเก็บน้ำ
ซึ่งจากการทดลองงานวิจัยดังกล่าวในสาธารณรัฐประชาชนจีน พบว่า
การทดสอบทำฝนด้วยเทคโนโลยีคลื่นเสียงความถี่ต่ำบริเวณแม่น้ำฮวงโหหรือแม่น้ำเหลือง
ในช่วงฤดูร้อนปี ค.ศ. 2019 สามารถเพิ่มปริมาณน้ำฝนได้ร้อยละ 18.98 ร้อยละ 10.61 และร้อยละ 8.74
ในพื้นที่รัศมี 2 3 และ 5 กิโลเมตร
ตามลำดับจากจุดติดตั้งเครื่องมือ
โดยในปัจจุบันสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ใช้เทคโนโลยีดังกล่าว
เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำให้กับอ่างเก็บน้ำ การเติมน้ำใต้ดิน การปรับปรุงระบบนิเวศ
และการเพิ่มปริมาณฝนสำหรับทุ่งหญ้า
ดร.วิชาญ อิงศรีสว่าง
ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า
จากนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ที่ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาภัยแล้งแก่พี่น้องเกษตรกร โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมแก้ปัญหาเร่งด่วนเพื่อให้เกษตรกรได้มีน้ำใช้เพื่อการทำเกษตร
สวก. ในฐานะหน่วยงานหลักในการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาต่อยอดภาคการเกษตร
จึงมีแนวคิดนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ในประเทศไทยเพื่อช่วยแก้ปัญหาภัยแล้ง
ฝนทิ้งช่วงในพื้นที่การเกษตร โดยเฉพาะในพื้นที่ทุรกันดาน
ด้วยการเพิ่มปริมาณน้ำฝนในเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำ
เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพให้การบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำในการอุปโภค-บริโภค
อย่างไรก็ตาม การนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ในประเทศไทย
จำเป็นต้องศึกษาความเป็นไปได้ทั้งในเชิงเทคนิควิธีการและเงื่อนไขในการใช้ทำฝนที่เหมาะสมกับลักษณะอากาศและลักษณะพื้นที่ของประเทศไทย
เพื่อสร้างแนวทางที่เหมาะสมในการนำเทคโนโลยีข้างต้นมาใช้ในการเพิ่มปริมาณน้ำฝนและการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนสำหรับประเทศไทย
สวก. จึงได้สนับสนุนทุนวิจัยเพื่อร่วมดำเนินโครงการฯ
โดยคัดเลือกพื้นที่ในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำจังหวัดเพชรบุรี
เป็นพื้นที่นำร่องดำเนินโครงการวิจัยฯ
โดยบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ มหาวิทยาลัย และเอกชน จำนวน 4 หน่วยงาน
ได้แก่ กรมชลประทาน กรมฝนหลวงและการบินเกษตรมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ห้องปฏิบัติการหลักของรัฐด้านอุทกวิทยาและวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยชิงฮวา และบริษัท
มดทองพัฒนา จำกัด
นายฉันติ เดชโยธิน
ผู้เชี่ยวชาญด้านวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์บรรยากาศประยุกต์ กล่าวว่า
กรมฝนหลวงและการบินเกษตร รับผิดชอบดำเนิน
“โครงการประเมินประสิทธิภาพการเพิ่มปริมาณฝนด้วยเทคโนโลยีคลื่นเสียงความถี่ต่ำ” เพื่อประเมินประสิทธิภาพของเทคโนโลยีดังกล่าวในการทำฝนเทียม
โดยประกอบด้วย 5 กิจกรรมหลัก ได้แก่ (1) การออกแบบการทดลองทำฝนด้วยเทคโนโลยีคลื่นเสียงความถี่ต่ำที่เหมาะสมกับพื้นที่ศึกษา
(2) การรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์พฤติกรรมการเกิดฝนบริเวณพื้นที่ศึกษา
(3) การทดสอบการทำฝนด้วยคลื่นเสียงความถี่ต่ำในพื้นที่ศึกษา
(4) การประเมินผลการทำฝนด้วยคลื่นเสียงความถี่ต่ำในพื้นที่ศึกษา
และ (5) การจัดทำรายงานสรุปโครงการวิจัย
และกำกับดูแลภาพรวมของการดำเนินงานโครงการวิจัย
นายธเนศร์
สมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา กล่าวว่า กรมชลประทานมีความพร้อมในการดำเนิน
“โครงการประเมินปริมาณน้ำเหนืออ่างเก็บน้ำที่ได้จากการเพิ่มปริมาณฝนด้วยเทคโนโลยีคลื่นเสียงความถี่ต่ำในประเทศไทย”
โดยตั้งเป้าหมายศึกษาการเพิ่มปริมาณน้ำฝนในพื้นที่ทดลอง
โดยศึกษาความเป็นไปได้ทั้งในเชิงเทคนิควิธีการ ลักษณะทางกายภาพ ลักษณะทางอุตุ-อุทก
ของพื้นที่อ่างเก็บน้ำ
และนำมาคำนวณปริมาณน้ำต้นทุนให้เพียงพอสำหรับการบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำของประชาชนที่ตามสภาวะที่มีการแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศต่อไป
นายจงรัก วัชรินทร์รัตน์
อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รับผิดชอบดำเนิน
“โครงการศึกษาผลกระทบด้านเสียง สั่นสะเทือน และสัตว์ป่า
บริเวณโดยรอบเครื่องกำเนิดคลื่นเสียงความถี่ต่ำ สนับสนุนและร่วมดำเนินการด้านการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
โดยตั้งเป้าหมายศึกษาการเปลี่ยนแปลง และผลกระทบของเสียง สั่นสะเทือน
และสัตว์ป่าบริเวณพื้นที่โดยรอบ จากการใช้เครื่องกำเนิด Low-Frequency Acoustic Waves สำหรับเป็นแนวทางในการป้องกันและควบคุมผลกระทบจากการดำเนินกิจกรรม
การประเมินผลกระทบด้านเสียง การประเมินผลกระทบด้านสั่นสะเทือน
และการประเมินผลกระทบด้านสัตว์ป่า ทั้งในระยะก่อน ระหว่าง และหลังที่มีการติดตั้ง
Mr. Meng Ding Ye บริษัท
มดทองพัฒนา จำกัด กล่าวว่า บริษัท
มดทองพัฒนา จำกัด ได้รับผิดชอบ
“โครงการจัดหาและติดตั้งชุดอุปกรณ์ทดลองเพิ่มปริมาณฝนด้วยเทคโนโลยีคลื่นเสียงความถี่ต่ำในประเทศไทย”
ในการประสาน และนำความรู้จากนักวิจัยห้องปฏิบัติการหลักของรัฐด้านอุทกวิทยาและวิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยชิงฮวา เข้าร่วมวิจัยและติดตั้งอุปกรณ์ในพื้นที่ที่กำหนด
โดยคาดว่าหลังจากนี้อุปกรณ์ดังกล่าวจะมาถึงประเทศไทย ประมาณ 1 เดือน สำหรับเทคโนโลยีฯ ถูกพัฒนาขึ้น
โดยห้องปฏิบัติการหลักของรัฐด้านอุทกวิทยาและวิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยชิงหัว สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นเทคโนโลยีการทำฝนที่ใช้คลื่นเสียงความถี่ต่ำกระตุ้นการสั่นสะเทือนของเม็ดน้ำในก้อนเมฆให้เกิดกระบวนการชนและรวมตัวกัน
และเพิ่มจำนวนเม็ดน้ำขนาดใหญ่ขึ้นจนเกิดฝนตกในพื้นที่เป้าหมาย
ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีการทำฝนทางเลือกที่ปลดปล่อยคาร์บอนต่ำ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการเพิ่มปริมาณน้ำฝนเชิงพื้นที่
และการเพิ่มปริมาณน้ำเก็บกักให้กับเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำที่มีปริมาณน้ำฝนตกในพื้นที่ลุ่มรับน้ำน้อย
โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มรับน้ำที่มีอุปสรรคในการทำฝนด้วยอากาศยานเนื่องจากเหตุผลความปลอดภัยด้านการบิน
และในสถานการณ์ที่มีความต้องการขอรับบริการการทำฝนหลายพื้นที่ในช่วงเวลาเดียวกัน