“พระเจ้าอยู่หัวเป็นน้ำ
ฉันจะเป็นป่า ป่าที่ถวายความจงรักภักดีต่อน้ำ พระเจ้าอยู่หัวสร้างอ่างเก็บน้ำ
ฉันจะสร้างป่า บ้านเล็กในป่าใหญ่ตามพระราชดำริบ้านหนองห้า ต.ร่มเย็น อ.เชียงคำ
จ.พะเยา ถือเป็น 1
ในโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ตามพระราชดำริที่มีจำนวนทั้งหมด 5
แห่ง ประกอบด้วย
1) โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ตามพระราชดำริบ้านอุดมทรัพย์
อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร
2) โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ตามพระราชดำริบ้านหนองห้า
อ.เชียงคำ จ.พะเยา
3) โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ตามพระราชดำริดอยฟ้าห่มปก
อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่
4.) โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ตามพระราชดำริดอยดำ
อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่
5) โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ตามพระราชดำริบ้านห้วยหญ้าไซ
อ.แม่สรวย จ.เชียงราย
ในอดีตนั้นบ้านหนองห้า ต.ร่มเย็น
อ.เชียงคำ จ.พะเยา มีสภาพพื้นที่เป็นป่าเสื่อมโทรม ผลจากถูกบุกรุกแผ้วถางเพื่อทำไร่เลื่อยนลอย
บางส่วนของพื้นที่มีการปลูกพืชเสพติด รวมถึงมีปัญหาด้านความมั่นคงตามแนวชายแดน
ประกอบกับมีราษฎรชาวไทยภูเขาเผ่าต่างๆ ได้เคยถวายฎีการ้องทุกข์
ขอพระราชทานความช่วยเหลือเรื่องที่ดินทํากินเป็นจํานวนมาก
พระองค์จึงมีพระราชดําริที่จะให้ราษฎรเหล่านั้นว่าจะเข้ามาช่วยฟื้นฟูสภาพป่าเพื่ออนุรักษ์แหล่งต้นน้ำลําธารในพื้นที่ดังกล่าวโดยจัดทําเป็นโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่และมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าฯ
พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงก็จะมาให้การสนับสนุนการฝึกอบรมศิลปาชีพ
และปลูกฝังความรู้ด้านการเกษตร การอนุรักษ์ ธรรมชาติแก่ราษฎร
ที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวเพื่อให้คนอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างผสมกลมกลืน
โดยคนเป็นผู้พิทักษ์รักษาป่าและป่าจะให้ความร่มเย็นเป็นแหล่งผลิตอาหารของคน
นางสาวนาถอนงค์ ชนาทิพย์ หรือชาวชนเผ่ารู้จักในนาม นาฮือ จ๊ะจ๋า ราษฎรชาวไทยภูเขาเผ่าลาหู่จาก อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ที่ย้ายเข้ามาอาศัยในโครงการฯเป็นกลุ่มแรกเมื่อปี 2545 เป็น 1 ในจำนวน 12ครอบครัวที่ได้รับการจัดสรรที่ดินทำกินจากทางการครอบครับละไม่เกิน 20 ไร่ โดยเธอบอกว่าเมื่อครั้งเข้ามาอยู่ใหม่เมื่อปี 2545 ไม่รู้จักวิธีการทำนาปลูกข้าว แต่หลังจากเจ้าหน้าที่จากกรมการข้าวได้เข้ามาถ่ายทอดองค์ความรู้วิธีการทำนา โดยใช้เป็นลักษณะทำนาแบบขั้นบันไดเพื่อเก็บกักน้ำไว้ เนื่องจากมีสภาพภูมิประเทศเป็นภูเขามีความลาดชัน ซึ่งต้องใช้เวลาปรับปรุงดินอยู่ประมาณ 5 ปี จึงเริ่มปลูกข้าวได้ โดยใช้ข้าวพันธุ์น้ำรู ซึ่งมีความเหมาะสมในการปลูกบนพื้นที่สูง หลังจากประสบความสำเร็จในการทำนา เธอก็ต่อยอดโดยการปลูกกาแฟ แล้วนำแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่นเมล็ดกาแฟคั่ว กาแฟบดบรรจุถุง ภายในใต้ตราสัญลักษณ์กาแฟบ้านหนองห้า ในโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ตามพระราชดำริ
“กรมการข้าวอยู่กับชุมชนอยู่กับชาวบ้านมาโดยตลอดตั้งแต่เริ่ม
ที่จริงพื้นที่นี่ไม่เหมาะสมในการทำนาปลูกข้าวมีก้อนหินผสมเยอะ น้ำมีไม่เพียงพอ
เป็นปัญหาอุปสรรคในการทำนามาก กว่าจะปลูกได้
กรมการข้าวช่วยปรับปรุงดินให้เหมาะสมโดยเอาปุ๋ยพืชสดมาใส่ นำข้าวพันธุ์น้ำรูมาปลูกเมื่อก่อนต้องซื้อข้าวกินเอง
ทางครอบครัวมีอาชีพรับจ้างหาเช้ากินค่ำ วันไหนไม่มีงานก็ไม่มีเงินซื้อข้าวให้กิน
ตอนที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวงเสด็จมาเมื่อปี 2549 ท่านจะบอกชาวบ้านทุกคนที่เข้าเฝ้าว่า ป่ามีความสำคัญมากถ้าป่าสมบูรณ์
เราก็จะมีกินมีใช้ใปตลอด
ถ้าพวกหนูรักพระองค์ท่านก็ให้ช่วยกันรักษาป่า”นางสาวนาถอนงค์
ชนาทิพย์กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือพร้อมยกมือไหว้เหมือนชีวิตได้เกิดใหม่
เช่นเดียวกัน นายสมบูรณ์ ชนะกุลกำพล
ราษฎรชาวไทยภูเขาเผ่าอาข่า จาก อ.เทิง จ.เชียงราย ซึ่งเข้ามาอยู่อาศัยในโครงการฯเป็นกลุ่มแรกเช่นกัน
โดยครอบครัวเขาได้รับการจัดสรรที่ดินทั้งสิ้น 20 ไร่ โดยแบ่งพื้นที่เป็นปลูกข้าวทำนาแบบขั้นบันได จำนวน 5 ไร่ ส่วนอีก 15 ไร่ปลูกกาแฟพันธุ์อาราบิก้า
ว่างเว้นจากทำนาก็มาปลูกพืชผักปลอดภัย ได้แก่ คะน้า กวางตุ้ง พืชตระกูลถั่วต่าง ๆ
เช่นถั่วหลือง ถั่วเขียว เป็นต้น ปลูกหมุนเวียนกันไป
แต่การทำเกษตรทุกอย่างจะไม่ใช่สารเคมีใด ๆ ทั้งสิ้นจะเน้นปุ๋ยอินทรีย์จากธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์
“ตอนแรกที่เข้ามาพื้นที่แถบนี้เป็นภูเขาหัวดล้นทั้งหมด
เราหกเมาช่วยหันปลูกป่า หลังไม้ที่ปลูกโตขึ้นก็มาปลูกกาแฟใต้ร่มเงาไม้ใหญ่
กาแฟที่นี่รสชาติดีมาก ๆ ดีกว่าปลูกที่อื่น ๆ แม้จะเป้นพันธุ์เดียวกัน นอกจากทำนาปลูกกาแฟแล้วยังปลูกผัก
พอหน้าหนาวก็จะปลูกสตรอเบอรี่ด้วย”ราษฎรชาวไทยภูเขาเผ่าอาข่าคนเดิมเผย
ขณะที่ นายพิจิตร ขันคำ
เจ้าหน้าที่ปฏิบัตงานโครงการพระราชดำริ ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าว อำเภอเมืองจังหวัดพะเยา
ซึ่งรับผิดชอบโครงการพระราชดำริในพื้นที่จ.พะเยา กล่าวว่า
ตนได้เข้ามารับผิดชอบโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ตามพระราชดำริบ้านหนองห้ามาตั้งแต่เริ่มแรกเมื่อปี
2545 และเข้ามาดูแลอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
โดยนำข้าวไร่พันธุ์พื้นเมืองพันธุ์น้ำรูมาปลูก
เนื่องจากมีความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่และสภาพภูมิอากาศหลังได้นำมาทดสอบแล้วเป็นพันธุ์ที่เจริญเติบโตได้ดีที่สุด
เพื่อผลิตข้าวให้เพียงพอต่อการบริโภคของชาวบ้านในพื้นที่โครงการฯ ซึ่งมีจำนวน 52 คนจากทั้งหมด 12 ครอบครัว ประกอบด้วย 4 ชนเผ่า ได้แก่ อาข่า 4 ครอบครัวลาหู่ 4 ครอบครัว เย้า 2 ครอบครัว และกะเหรี่ยง 2 ครอบครัว
“กรมการข้าวโดยศูนย์เมล็ดข้าวพะเยาได้เข้าไปดําเนินกิจกรรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตข้าวแบบนาขั้นบันได
จัดทําแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวพันธุ์น้ำ
และสนับสนุนปัจจัยการผลิตให้กับเกษตรกรในพื้นที่โครงการพร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้แบบยั่งยืน
เรียนรู้วิธีขยายพันธุ์ข้าวบนพื้นที่สูงแก่เกษตรกร
เพื่อจะได้ขยายผลไปสู่ชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียงต่อไป จุดเด่นของข้าวพันธุ์นี้คือ
เป็นข้าวไว่แสงอ่อน ๆ เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเล
(ปานกลางระหว่าง 1,000-1400 เมตร
เป็นข้าวเจ้าพันธุ์เดียวที่ปลูกในพื้นที่จ.พะเยา ช่วงแรก ๆให้ผลผลิตอยู่ที่ 80-90 กิโลกรัม/ไร่ ปัจจุบันผลผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 380-390
กิโลกรัม/ไร่”นายพิจิตร ขันคำ กล่าว
ส่วนนายพรเทพ สีวันนา
นักวิชาการเกษตรชำนาญการ กรมการข้าว
กล่าวถึงโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ตามพระราชดำริว่าเป็นโครงการที่สมเด็จพระพันปีหลวงฯเคยมีพระกระแสรับสั่งว่า
ในหลวงเป็นน้ำ ฉันจะเป็นป่าป่าที่ถวายความจงรักภักดีต่อน้ำ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดยกรมการข้าวพยายามสนับสนุน สืบทอดแนวพระปณิธาณของสมเด็จพระพันปีหลวง
ที่จะสร้างความเข้มแข็ง โดยเฉพาะเกษตรกรกลุ่มชาติพันธุ์
ที่อยู่ตามพื้นที่สูงโดยจะไม่ส่งเสริมให้เขาลงมาใช้ชีวิตในเมืองใหญ่
แต่จะสร้างความเข้มแข็งในถิ่นที่อยู่อาศัยเดิม ให้เขามีพืชพันธุ์ธัญญาหาร
ตลอดจนข้าวที่เป็นปัจจัยในการบริโภค
และการดำเนินชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ให้มีความเข้มแข็งเพียงพอและพอมีพอกิน
นอกจากนี้ยังได้พยายามสร้างความเข้มแข็งให้กับหมู่บ้าน ชุมชน
โดยใช้ลูกหลานเกษตรกรในโครงการฯไปทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรกรในพื้นที่หรือหมู่บ้านใกล้เคียงต่อไป
“จุดเด่นของโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่
ของ จังหวัดพะเยา มีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์เป็นปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้โครงการขับเคลื่อนได้
มีน้ำที่เพียงพอ
มีอากาศที่เหมาะสมต่อการปลูกอันนี้เป็นปัจจัยหลักตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่เหมาะสม
เราคงจะขยายเรื่ององค์ความรู้ตลอดเป็นนโยบายของทางกระทรวงรวมถึงกรมการข้าวเอง
ที่จะสนับสนุนเครื่องมือ ให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ให้เค้ามีใจ
มีการผลิตที่เหมาะสมสามารถทันกับต่อโลกทันต่อยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง” นายพรเทพ
สีวันนา นักวิชาการเกษตรชำนาญการ กรมการข้าว ผู้อำนวยการกองประสานงานโครงการพระราชดำริ
กรมการข้าว กล่าว
ด้านนายณัฎฐกิตติ์ ของทิพย์
อธิบดีกรมการข้าว กล่าวถึงโครงการพระราชดำริในพื้นที่สูงว่า
กรมการข้าวพร้อมสนับสนุนเกษตรกรในพื้นที่สูง
ไม่ว่าจะเป็นโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่หรือ โครงการอื่น ๆ
ในถิ่นทุรกันดารพยายามสนับสนุนโดยนำข้าวไร่ ข้าวเฉพาะถิ่น ไปให้พี่น้องในพื้นที่สูงได้มีข้าวไว้บริโภค
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูฝน บางพื้นที่พี่น้องเกษตรกรในพื้นที่สูง ลำบาก
ข้าวไม่เพียงพอ “วันนี้กองงานพระราชดำริได้ระดมคน ช่วยกันจุดไหนที่เป็นข้อบกพร่อง
จุดไหนที่พี่น้องเกษตรกรยังเข้าไม่ถึงเมล็ดพันธุ์ดี เราก็จะเข้าไปช่วยกัน ก็ฝากพี่น้องสื่อมวลชนได้ประชาสัมพันธ์
กรมการข้าวพร้อมแล้ว
พร้อมจะอำนวยความสะดวกให้พี่น้องเกษตรกรทุกที่โดยผ่านศูนย์ข้าวชุมชน
และกลุ่มนาแปลงใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องไม้เครื่องมือ อุปกรณ์ นวัตกรรมต่าง ๆ
กรมการข้าวจะสนับสนุนพี่น้องเกษตรกรอย่างเต็มที่”อธิบดีกรมการข้าวกล่าวย้ำทิ้งท้าย