วันที่ 29 ตุลาคม 2567 นายรพีภัทร์
จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เป็นประธานเปิดงานโครงการ :
การศึกษาและสำรวจความคิดเห็นของภาคประชาชนต่อการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติภายใต้ความรับผิดชอบของกรมวิชาการเกษตร
โดยมี นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์
ประธานสภาลมหายใจกรุงเทพ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและการกีฬา
และอดีตรองประธานคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา ,
นางสุรางคณา วายุภาพ กรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิมศว. มทร.
และอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
,นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ผู้ทรงคุณวุฒิ และอดีตปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ,นายจิรากร โกศัยเสรี ผู้ทรงคุณวุฒิ
และอดีตอธิบดีกรมวิชาการเกษตร) ,นายชัยศักดิ์ รินเกลื่อน
ผู้อำนวยการสำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร
กรมวิชาการเกษตร ,นางสาวธิดากุญ
แสนอุดม ผู้อำนวยการสำนักคุ้มครองพันธุ์พืช กรมวิชาการเกษตร เข้าร่วมประชุมย่อย ณ ห้องบอลรูม A-B โรงแรมมารวยการ์เด้น พหลโยธิน
กรุงเทพมหานคร
นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์
อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เป็นหน่วยงานกำกับดูแลกฎหมายถึง 6 ฉบับด้วยกัน
เนื่องจากภาคการเกษตรมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างความมั่นคงทางอาหาร (Food
Security) แต่ความท้าทายที่กำลังเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงรอบตัวจะกระทบอย่างยิ่งต่อความมั่นคงทางอาหารและต่อพืชเศรษฐกิจของประเทศ
กรมวิชาการเกษตรจึงต้องปรับตัวและเตรียมพร้อม อันหมายรวมถึงกฎหมายทั้ง 6
ฉบับภายใต้ความรับผิดชอบ “กฎหมาย” คือ กฎเกณฑ์ กติกาที่มีสภาพบังคับและต้องปฏิบัติตาม
ผู้ใดจะอ้างว่า ไม่รู้กฎหมายไม่ได้
เดิมกฎหมายเมื่อตราขึ้นใช้บังคับแล้วไม่ใช่เรื่องง่ายนักในการปรับปรุงแก้ไข
รวมทั้งใช้ระยะเวลาหลายปีกว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จ
และมักมีการดำเนินการทีละฉบับ
จึงยิ่งใช้ระยะเวลาในการดำเนินการกว่าจะทำได้ครบถ้วนทุกฉบับ
การดำเนินงานเชิงรุกของกรมวิชาการเกษตรที่มององค์รวมของการขับเคลื่อนในเรื่องนี้
ด้วยการศึกษาและสำรวจความคิดเห็นของภาคประชาชนเพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง
ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการให้ข้อคิดเห็น หรือสะท้อนข้อห่วงกังวล
รวมทั้งข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติในเวลาไล่เลี่ยกันครบทั้ง
6 ฉบับ โดย 3 พระราชบัญญัติ
ซึ่งได้มีการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในวันนี้ คือ
พระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ.2542 พระราชบัญญัติกักพืช พ.ศ.2507
และพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ.2542 ส่วนอีก 3 พระราชบัญญัติ ได้แก่ พระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ.2518
พระราชบัญญัติปุ๋ย พ.ศ. 2518 และพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ.2535
ซึ่งได้มีการดำเนินการเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา
วันนี้
รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการขจัดกฎหมายที่ไม่จำเป็น หรือการกิโยตินกฎหมาย
และให้ความสำคัญกับการปรับปรุงและทบทวนกฎหมายให้ทันสมัย
ควบคู่กับการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและผู้ประกอบการ
อันเป็นมาตรการสำคัญที่ช่วยยกระดับและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศมาตรการหนึ่ง
รวมทั้งต้องทำให้เกิดธรรมาภิบาล ความโปร่งใส และความเป็นธรรมให้กับประชาชน
และด้วยภารกิจของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์การเกษตรถือเป็นกระทรวงหลักที่ต้องทำให้เกิดความมั่นคงทางอาหาร
(Food Security) อันมาจากพืชผลการเกษตร และขณะนี้
ทุกประเทศกำลังเผชิญกับความท้าทายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
ทั้งจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและรวดเร็ว (Climate
Changes) ตลอดจนวิกฤติการณ์ที่เปรียบเสมือนภัยคุกคามใหม่ๆ
ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน (Emerging Threats) ทำนองเดียวกับผลกระทบจาก Covid-19 เมื่อหลายปีที่ผ่านมา
รวมทั้งภัยจากสงครามหรือความตึงเครียดในหลายๆ
ภูมิภาคจากภูมิรัฐศาสตร์ที่มีการเปลี่ยนแปลงและมีความเสี่ยงว่าจะส่งผลกระทบต่อการเกษตรและต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อปัจจัยการผลิตทางการเกษตรที่ปรับอาจขาดแคลนหรือมีราคาแพงมากขึ้น
เช่น ปุ๋ย และสารเคมีที่จำเป็น อีกทั้งยังคาดหมายได้ต่อไปว่า
วิกฤติที่เกิดขึ้นนั้น
อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
เราทุกคน จึงต้องปรับตัวในทุกๆ
ด้านที่จำเป็น รวมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางกฎหมายของประเทศให้พร้อม
บนพื้นฐานของข้อมูลและหลักการทางวิทยาศาสตร์ ที่เรียกว่า Science-Based
และหลักการบริหารจัดการความเสี่ยง
หรือ Risk-Based เพื่อให้พร้อมรับมือกับ
Climate Changes และวิกฤติใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อการเกษตรทั้งระบบ
และต่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศด้วยในที่สุด
ที่ผ่านมานั้น
เรามักตรากฎหมายเพื่อกำกับควบคุมแบบเคร่งครัด
ก็อาจจำเป็นต้องปรับไปทิศทางที่เป็นการกำกับดูแลเชิงส่งเสริมมากกว่าเชิงลงโทษ
รวมทั้งจำเป็นต้องปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัยและสอดคล้องตามพันธกรณีระหว่างประเทศโดยต้องตระหนักและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเกษตรกรเป็นสำคัญ
การเพิ่มมาตรการเชิงนวัตกรรมและรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ไว้ในกฎหมาย เช่น
การปรับแต่งพันธ์พืชให้ดีขึ้น (Gene Editing) หรือการรองรับมาตรการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลหรือปัญญาประดิษฐ์พร้อมทั้งคำนึงถึงมาตรการป้องกันการบิดเบือนข้อมูล
เพื่อความปลอดภัยและยกระดับเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในภาคการเกษตร
ก็อาจเป็นสิ่งที่ต้องคำนึง อายุการคุ้มครองที่สั้นเกินไปก็ควรขยายเวลาการคุ้มครองออกไปให้เหมาะสมมากขึ้น
หรือโครงสร้างกรรมการซึ่งกำหนดให้เป็นกรรมการโดยตำแหน่งที่มาจากหน่วยงานหรือผู้ทรงคุณวุฒิในภาคการเกษตรเป็นส่วนใหญ่
ก็มีความจำเป็นต้องเพิ่มหน่วยงานหรือผู้ทรงคุณวุฒิจากสายงานด้านเศรษฐกิจ
หรือด้านเศรษฐศาสตร์ นวัตกรรม หรือ Climate Changes เข้าไปในองค์ประกอบของคณะกรรมการเพื่อเพิ่มมุมมองในมิติต่างๆ
ให้รอบด้านมากขึ้น
รวมทั้งการกำหนดมาตรการปรับเป็นพินัยใส่ไว้ในกฎหมายเอาไว้ให้ชัดเจน เป็นต้น
นางสุรางคณา วายุภาพ
กรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิมศว. มทร. และอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กล่าวว่า
การปรับปรุงกฎหมายของกรมวิชาการเกษตรครั้งนี้
จึงมีแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงกฎหมายที่ออกจากกรอบแนวคิดเดิมๆ
เพื่อให้กฎหมายเกี่ยวกับการเกษตรของประเทศสามารถพัฒนาก้าวทันการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นอันจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อภาคการเกษตรของไทย
อย่างไรก็ตาม
ในการรับฟังความเห็นและการประชุม Focus Group ครั้งนี้
เป็นระยะแรกเพื่อนำข้อมูลไปใช้ประกอบการยกร่างกฎหมาย รวมทั้งการดำเนินการใดๆ
เพื่อประเมินผลกระทบของร่างกฎหมาย
และจำเป็นต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในระยะถัดไป
รวมทั้งเป็นขั้นตอนสำคัญก่อนประเทศไทยจะเป็นภาคีอนุสัญญาฉบับที่สำคัญๆ เช่น
อนุสัญญาการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ (International Convention for the
Protection of New Varieties of Plants) UPOV 1991 เป็นต้น โดยวางแผนว่า
การปรับแก้กฎหมายควรจะเร่งรัดและดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี
เพื่อให้มีผลใช้บังคับต่อไป