FWD ประกันชีวิต
เปิดโมเดลต้นแบบโครงการพัฒนาชุมชนกับชุมชนลาหู่ ดอยปู่หมื่น อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่
พร้อมจับมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ลงพื้นที่เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาชุมชนตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ
เพื่อสนับสนุนชุมชนให้เข้มแข็ง ร่วมพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
อย่างยั่งยืน
นายเดวิด โครูนิช
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) (“FWD ประกันชีวิต”) เปิดเผยว่า “ด้วยเป้าหมายของ FWD
ที่สนับสนุนให้ผู้คนในสังคมไทยได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวล
เราจึงเริ่มโครงการเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างประโยชน์ให้สังคมอย่างยั่งยืนตั้งแต่ปี
2564 โดยร่วมมือกับชุมชนและหน่วยงานต่างๆ เริ่มตั้งแต่การสำรวจพื้นที่
คัดเลือกชุมชนต้นแบบ และเริ่มทำงานพัฒนาชุมชนจนเป็นที่มาของ
“โครงการพัฒนาชุมชนลาหู่ ดอยปู่หมื่น”
อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ที่เราได้ทำงานกับชุมชน
“ลาหู่” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา”
“โครงการพัฒนาชุมชนลาหู่ ดอยปู่หมื่น”
เริ่มต้นจากกรอบแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนใน 3 ด้านคือ สังคม เศรษฐกิจ
และสิ่งแวดล้อม ซึ่งในการทำงานของเราเริ่มจากการการคัดเลือกชุมชน ทั้งนี้
จากการลงสำรวจพื้นที่ พบว่า ชุมชนมีปัญหาในเรื่องความเป็นอยู่
เนื่องจากรายได้ไม่เพียงพอ
และกลุ่มคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่เดินทางเข้าไปทำงานในตัวเมืองเป็นจำนวนมากโดยทิ้งพื้นที่เพาะปลูกและการทำเกษตรกรรมชาอัสสัม
ซึ่งเป็นพื้นฐานของครอบครัว นอกจากนี้ ผลผลิตจากการปลูกชา ซึ่งเป็นอาชีพหลัก
ยังทำได้ไม่ดีพอ เนื่องจากชุมชนใช้วิธีการปลูกแบบดั้งเดิม
และอาศัยวิธีการทางธรรมชาติเป็นหลัก ซึ่งผลผลิตที่ได้มีจำนวนจำกัด
และคุณภาพชาไม่สม่ำเสมอ ส่งผลต่อรายได้ของชุมชนที่ไม่แน่นอน FWD จึงเข้าไปให้ความช่วยเหลือและพร้อมเคียงข้างสนับสนุนชุมชนให้พัฒนาตนเองได้อย่างยั่งยืน
โดยเริ่มทำงานด้านการพัฒนาเศรษฐกิจผ่านการเพิ่มผลผลิตที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน
พร้อมสนับสนุนให้ชาอัสสัมจากดอยปู่หมื่นเป็นที่รู้จัก
เพื่อนำรายได้เข้าสู่ชุมชนมากยิ่งขึ้น
ซึ่งจะช่วยลดปัญหาทางสังคมในเรื่องการทิ้งพื้นที่ของคนหนุ่มสาวในหมู่บ้านไปในเวลาเดียวกัน
พร้อมกันนั้นเราได้เข้าไปให้ความช่วยเหลือในเรื่องของสิ่งแวดล้อมโดยได้สนับสนุนการสร้างจุดทิ้งขยะในชุมชน
เพื่อช่วยลดปัญหาการทิ้งขยะไม่เป็นที่ซึ่งอาจส่งผลให้พื้นที่เพาะปลูกเสียคุณภาพ
การทำงานในครั้งนี้เราได้รับความร่วมมือจากคณะทรัพยากรชีวภาพและเทคโนโลยี
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
และองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน หรือ อพท.
เข้าช่วยพัฒนาโครงการทั้งหมด 3 โครงการ ได้แก่ โครงการธนาคารต้นกล้า ดำเนินการตั้งแต่ปี
2564 โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประชากรต้นกล้าชาและเพิ่มผลผลิตชาให้กับชุมชน
จัดตั้งคณะทำงานธนาคารต้นกล้าเพื่อให้ชุมชนบริหารจัดการต้นกล้าชาอย่างเป็นระบบ
เริ่มตั้งแต่การเพาะพันธุ์อย่างมีคุณภาพเพื่อผลผลิตที่สมบูรณ์
มอบต้นกล้าให้สมาชิกเพื่อเพิ่มปริมาณต้นชา
และส่งเสริมให้เกิดการจัดการทรัพยากรต้นกล้าและเมล็ดพันธุ์อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งให้ความรู้ในการบริหารจัดการธนาคารต้นกล้า
วางแผนการดำเนินงานและการจัดสรรทรัพยากรอย่างเป็นระบบ
โครงการพัฒนาคุณภาพชา
แบ่งออกเป็นสองงานหลัก คือ (1) เพิ่มคุณภาพจากผลผลิตในปัจจุบัน
ผ่านการพัฒนาโรงอบใบชา ดำเนินการตั้งแต่ปี 2565 ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว ร่วมออกแบบนวัตกรรม “โรงอบชาอัจฉริยะ”
จากเดิมระบบอบแห้งที่ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์
ซึ่งไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิภายในโรงอบให้สม่ำเสมอได้
ทำให้ยากต่อการคำนวนระยะเวลาในการตากชาในแต่ละรอบ มาตรฐานการผลิตจึงขึ้นอยู่กับสภาพอากาศซึ่งเป็นปัจจัย
ดังนั้น “โรงอบชาอัจฉริยะ” จึงเข้ามาช่วยโดยการติดตั้งเครื่องมืออบแห้งแรงลม
ที่สามารถใช้ได้ทั้งพลังงานไฟฟ้าและพลังงานแสงอาทิตย์
เพื่อทำให้กระบวนการผลิตสามารถควบคุมคุณภาพได้ดีขึ้นเป็นมาตรฐานเดียวกัน
มีการตรวจวัดอุณหภูมิภายในโรงอบตลอด 24 ชม ในรูปแบบอุปกรณ์ IoT ทำให้โรงอบชาสามารถปรับอุณหภูมิได้เหมาะสมเป็นอัตโนมัติ
สามารถควบคุมและลดระยะเวลาการตากชาในโรงอบ เพิ่มผลผลิตต่อรอบต่อวัน
เพิ่มคุณภาพผลผลิตให้เป็นมาตรฐาน
เพื่อให้ชุมชนสามารถขายใบชาในปัจจุบันได้ในราคาที่สูงขึ้น (2) เพิ่มปริมาณของผลผลิตใบชาในอนาคต
ผ่านโครงการธนาคารต้นกล้า
ที่มอบต้นกล้าชาและเมล็ดพันธุ์ให้กับชุมชนซึ่งเป็นสมาชิกในโครงการ
พร้อมให้ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาศักยภาพเกี่ยวกับกระบวนการเพาะปลูก
ตั้งแต่การเพาะเมล็ดและคัดเลือกต้นกล้าที่แข็งแรง จัดอบรมเรื่องการดูแลต้นกล้า
การใช้ปุ๋ยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการเก็บเกี่ยวตามมาตรฐาน และในปีนี้
สมาชิกในชุมชนมีแนวคิดร่วมกันในการผลักดันให้ชาดอยปู่หมื่นก้าวสู่มาตรฐาน Organic
Thailand เพื่อส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ของพื้นที่มีราคาสูงขึ้นพร้อมทั้งเพิ่มรายได้ในระยะยาว
โครงการเพิ่มมูลค่าชาอัสสัม เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี
2565
โดยมีแนวคิดในการนำใบชาไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์อื่นเพื่อยกระดับชาอัสสัมจากดอยปู่หมื่นให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
โดยได้รับการสนับสนุนจาก “เชฟชุมพล แจ้งไพร” เชฟมิชลิน 2 ดาว
ผู้นำเสนอประสบการณ์อาหารไทยแบบ Fine Dining นำใบชามารังสรรค์ 3 เมนูอาหารคาว และ 2 เมนูเครื่องดื่ม
พร้อมวางขายเมนูพิเศษในร้านหวานไทย ตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม ถึง 31 พฤษภาคม 2566
“แผนการพัฒนาชุมชนขั้นต่อไปคือการเตรียมความพร้อมสำหรับช่องทางการจัดจำหน่าย
โดยการอบรมให้ความรู้แก่ชุมชนและเตรียมอุปกรณ์ในการขายผ่านช่องทางต่างๆ อาทิ
ช่องทางออนไลน์ รวมถึงการออกบูธแสดงสินค้า เป็นต้น
โดยเรามุ่งหวังให้ชุมชนสามารถยืนอยู่ได้ด้วยตัวเองหลังจากได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมความรู้ทั้งในเรื่องสังคม
เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม โดย FWD ประกันชีวิต จะนำสิ่งที่ได้เรียนรู้จากโครงการนี้เป็นโมเดลต้นแบบในการพัฒนาชุมชนอื่นๆ
ต่อไปในอนาคต” นายเดวิดกล่าว