“ระเบิดจากข้างใน”หัวใจของการพัฒนาตามที่ในหลวงรัชกาลที่9
ได้พระราชดำรัสไว้กลายเป็นจุดเด่นของสหกรณ์ชาวสวนบ้านตําบลโคกเคียน จํากัด
จังหวัดนราธิวาส ภายใต้การนำของ นายณัฐกิตติ์ ปิ่นทอง ประธานสหกรณ์ฯที่น้อมรับแนวพระราชดำรัสมาปรับใช้ในหมู่มวลสมาชิก
จนประสบความสำเร็จในหลายโครงการผ่าน”โคกเคียนโมเดล”
ซึ่งเป็นโมเดลต้นแบบให้กับจังหวัดนราธิวาสนำไปขยายผลในหลายพื้นที่
“สมาชิกส่วนใหญ่ทำสวนยางเป็นหลักและสวนปาล์ม
”โคกเคียน โมเดล”เกิดเมื่อปี 2562
ตอนนั้นเกิดปัญหาโรคใบร่วงยางพาราระบาดอย่างรุนแรง
เราก็ใช้กระบวนการสหกรณ์ระดมร่วมคิดว่าเราจะแก้ปัญหาโรคนี้อย่างไร
จึงตั้งคณะทำงานขึ้นมาแล้วประสานหน่วยงานเกี่ยวข้องด้านยางพาราเพื่อมาร่วมทำกิจกรรมตรงนี้
เป็นการระเบิดจากข้างในสู่ข้างนอกเหมือนที่ในหลวงร.9
ท่านพระราชทานแนวทางไว้เลย”ประธานสหกรณ์ฯเผย
นายณัฐกิตติ์ อธิบายต่อว่า
จากนั้นเริ่มคิดและกำหนดรูปแบบในการดูแลรักษาแปลงยางพารา หลังจากสมาชิกไม่ยินยอมทำตามคำแนะนำภาครัฐให้ต้องใช้สารเคมีฉีดพ่น
โดยมองว่าจะเป็นอันตรายต่อตัวเกษตรกร จึงมาสรุปที่ว่าทดลองใช้สารชีวภาพ
ผลิตเชื้อไตรโคม่าหว่านในแปลง และใส่ปุ๋ยให้ตรงตามค่าวิเคราะห์ดิน
จัดการแลปงให้เตียนโล่ง นอกจากนี้ยังติดตั้งเครื่องวัดอุณหภูมิความชื้นเพื่อตรวจสภาพอากาศก่อนใส่ปุ๋ยยางทุกครั้ง
“เราก็มาตั้งสมมติฐานที่ว่าความชื้นมีผลต่อโรคใบร่วงหรือไม่
ความชื้นในอากาศ ความชื้นในดิน
เพราะว่าใบยางร่วมพอตกลงดินที่มีความชื้นมันจะเกิดเชื้อราลากลามไปที่ต้นยางส่งผลให้ยืนต้นตายและเป็นใบร่วง
พอพิสูจน์ว่าทำตามกระบวนการต่าง ๆ
เหล่านี้สามารถลดต้นทุนเกษตรกรและสามารถป้องกันโรคใบร่วงได้
ถึงแม้ว่าเกิดโรคดังกล่าวแต่ก็ได้รับความเสียหายไม่มาก
ต้นยางยังให้สามารถกรีดให้ผลผลิตได้
อย่างปี 2563-64 โรคใบร่วงระบาดรุนแรงมาก พอปี 2565 เหลือแค่ไม่กี่จุด”
ประธานสหกรณ์ฯคนเดิมระบุอีกว่าการแก้ปัญหาโรคใบร่วงดังกล่าว
นอกจากการดูแลจัดการแปลงแล้ว
การใช้นวัตกรรมเครื่องวัดอุณหภูมิความชื้นในสวนยางที่เกิดจากการประดิษฐ์คิดค้นของลูกหลานสมาชิกดที่เก่งด้านไอทีแล้วนำมาประยุกต์ใช้ในสวนยางพาราก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้แก้ปัญหาโรคใบร่วงยางพาราได้สำเร็จ
ปัจจุบันทางสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร
สงขลานำไปต่อยอดงานวิจัยเพื่อให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
เขายอมรับว่าปัญหาของสหกรณ์โคกเคียนขณะนี้คือเรื่องแรงงาน
เนื่องจากสมาชิกส่วนใหญ่เป็นผู้สูงวัยทำให้ขาดแคลนแรงงานฝีมือ
ซึ่งที่ผ่านมาทางสำนักงานสหกรณ์จังหวัดนราธิวาสก็ได้เข้ามาช่วยแก้ปัญหาและร่วมเปิดหลักสูตรการกรีดยางให้กับลูกหลานสมาชิกเพื่อทดแทนแรงงานที่ขาดหายไป
ขณะเดียวกันทางสหกรณ์ฯได้นำเทคโนโลยีนวัตกรรมมาใช้ในการตรวจสอบย้อนกลับน้ำยางและใช้ระบบจีพีเอสตรวจจับแปลงปลูกอีกด้วย
และเป็นสหกรณ์แห่งแรกที่การนำเทคโนโลยีนี้ มาใช้เพื่อก้าวไปสู่มาตรฐานสากล
“สหกรณ์เราได้เน้นย้ำเรื่องการตรวจสอบย้อนหกลับว่าสวนยางเกษตรกรมีการปลูกรุกล้ำเขตป่าสงวนหรือไม่
ซึ่งโคกเคียน
โมเดลเราใช้ระบบจีพีเอสตรวจจับแปลงยางสมาชิกทุกแปลงเพื่อตรวจสอบย้อนกลับ
ในวันที่ท่านอธิบดีมาเราจะนำเสนอกระบวนตรวจสอบย้อนกลับและการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการซื้อขายยางพาราด้วย สมาชิกมาขายปุ๊บ เราสแกนคิวอาร์โค้ต รู้ได้ทันทีว่าน้ำยางนี้มาจากแปลงไหน
พูดง่ายๆว่าสหกรณ์โคกเคียนเป็นแห่งแรกที่นำระบบตัวนี้มาใช้กระบวนการตรวจสอบย้อยกลับเพื่อเข้าสู่กระบวนการซื้อขายตามมาตรฐานสากล”ประธานสหกรณ์ชาวสวนบ้านตําบลโคกเคียน
จํากัดกล่าวย้ำ
อย่างไรก็ตาม สหกรณ์ชาวสวนบ้านตําบลโคกเคียน
จํากัด ปัจจุบันตั้งอยู่ ม.8 ต.โคกเคียน
อ.เมือง จ.นราธิวาส จัดตั้งขึ้นในปี 2560 เดิมมีสมาชิกจํานวน 30 ราย พื้นที่ 162.5
ไร่ ปัจจุบันเพิ่มสมาชิกเป็น 129 ราย พื้นที่ 367.5 ไร่
เป็นการต่อยอดมาจากวิสาหกิจชุมชนเกษตรกรชาวสวนตําบลโคกเคียน
ซึ่งมีกิจกรรมรวบรวมและเพื่อขายน้ำยางพารา
เพื่อแก้ปัญหาของเกษตรกรผู้มีอาชีพทําสวนยางในพื้นที่
ร่วมกันแก้ไขปัญหาราคาผลผลิตยางพาราตกต่ำและการถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง
รวมทั้งสมาชิกจะได้รับเงินปันผลและเฉลี่ยคืนเมื่อสิ้นปี
อันจะเป็นการส่งเสริมให้เกษตรกร สมาชิกมีรายได้เพิ่มขึ้น
เศรษฐกิจภายในชุมชนมีการหมุนเวียน เกิดความมั่นคงอย่างยั่งยืน