นางสาวอุษา โทณผลิน ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 3 อุดรธานี (สศท.3) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ผลักดันการใช้ทรัพยากรในภาคการเกษตรอย่างยั่งยืน ตามแนวทาง BCG Model (Bio Circular Green Economy) โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการทรัพยากรการเกษตรและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน ทั้งในแง่ของการใช้ประโยชน์และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งวัดุเหลือใช้ทางการเกษตร ที่สำคัญและมีปริมาณมาก คือ “ฟางข้าว”
โดยข้อมูลปี
2565 (ข้อมูลจากกรมพัฒนาที่ดิน และ สศก.) พบว่า ประเทศไทยมีปริมาณฟางข้าวทั้งหมด
27.05 ล้านตัน ซึ่งจังหวัดอุดรธานีเป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญของประเทศ
จึงเป็นแหล่งที่เกิดฟางข้าวปริมาณมาก มีปริมาณฟางข้าว 856,752 ตัน
จากการจัดประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อระดมความคิดเห็น
เรื่อง การจัดการโซ่อุปทาน และแนวทางการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มมูลค่าวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร
กรณีศึกษาฟางข้าว เมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่
3 เป็นประธาน ซึ่ง สศท.3 ในฐานะหน่วยงานหลักผู้รับผิดชอบ
ได้จัดประชุมเพื่อร่วมกันระดมความคิดเห็นและหาแนวทางการพัฒนาการบริหารจัดการฟางข้าว
โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย
ผู้แทนจากหน่วยงานทั้งในและนอกสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แก่
สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดอุดรธานี สำนักงานเกษตรจังหวัดอุดรธานี
สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดอุดรธานี ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์อุดรธานี สถานีพัฒนาที่ดินอุดรธานี
ศูนย์วิจัยข้าวอุดรธานี ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวอุดรธานี
ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรอุดรธานี รวมถึงเกษตรกรในพื้นที่
และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการจัดการฟางข้าว
สำหรับการใช้ประโยชน์และการลดต้นทุนจากฟางข้าวในจังหวัดอุดรธานี
พบว่า ผู้ใช้ประโยชน์สินค้าฟางข้าว ประกอบด้วย 5 กลุ่ม คือ 1) ผู้เลี้ยงปศุสัตว์
จากข้อมูลปศุสัตว์ในประเทศไทย 2566 จังหวัดอุดรธานี มีจำนวนโคเนื้อ กระบือ และโคนม
รวมกว่า 267,539 ตัว ผู้เลี้ยงรับซื้อสินค้าฟางข้าวอัดก้อน ร้อยละ 32.27
ของผลผลิตทั้งหมด เมื่อนำฟางข้าวมาใช้เป็นอาหารในการเลี้ยงปศุสัตว์เปรียบเทียบกับการใช้หญ้าแพงโกล่าหรืออาหารหยาบ
(TMR 16%)
สามารถช่วยลดต้นทุนการเลี้ยงโคเนื้อและกระบือได้ 15.79 บาท/ตัว/วัน (ลดลงร้อยละ
52.63) และลดต้นทุนการเลี้ยงโคนมได้ 28.96 บาท/ตัว/วัน (ลดลงร้อยละ 48.27) 2)
ผู้เพาะเห็ด รับซื้อสินค้าฟางข้าวอัดก้อน ร้อยละ 0.95 ของผลผลิตทั้งหมด
ใช้ในการเพาะเห็ดเปรียบเทียบกับการใช้เปลือกมันสำปะหลังสามารถลดต้นทุนได้ 2,965
บาท/ปี (ลดลงร้อยละ 24.71) 3) ผู้เพาะเลี้ยงประมง รับซื้อสินค้าฟางข้าวอัดก้อน
ร้อยละ 0.64 ของผลผลิตทั้งหมด ใช้เป็นอาหารปลาเปรียบเทียบกับการใช้อาหารปลาสำเร็จรูปสามารถลดต้นทุนได้
13,843.20 บาท/ไร่/รุ่น (ลดลงร้อยละ 62.40) 4) ผู้ผลิตปุ๋ย
รับซื้อสินค้าฟางอัดก้อน ร้อยละ 0.32 ของผลผลิตทั้งหมด
ใช้ประโยชน์ในการผลิตปุ๋ยเปรียบเทียบกับปุ๋ยอินทรีย์สามารถลดต้นทุนได้ 305
บาท/ไร่/รอบการผลิต (ลดลงร้อยละ 30.50) และ 5) เกษตรกรเป็นผู้ใช้ประโยชน์โดยตรง
โดยการเก็บฟางข้าวที่อัดก้อนไว้ใช้ประโยชน์เอง ร้อยละ 48.56 ของผลผลิตทั้งหมด
และไถกลบในนาข้าว ร้อยละ 17.26 ของผลผลิตทั้งหมด
ด้านแนวทางในการพัฒนาการบริหารจัดการฟางข้าว ได้แก่ 1)
ส่งเสริมความรู้ให้กับเกษตรกรและกลุ่มเกษตรกร ในการวางแผนการจัดการฟางข้าว
ตั้งแต่กระบวนการผลิต การแปรรูป/การเพิ่มมูลค่า และการบริหารคลังสินค้า 2)
ส่งเสริมความร่วมมือในการซื้อขายฟางข้าวร่วมกัน
เพื่อช่วยลดต้นทุนการจัดหาและการขนส่งฟางข้าว 3) สนับสนุนเครื่องจักร
เทคโนโลยี/นวัตกรรมใหม่ ๆ ในด้านการผลิต
การพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์เดิมที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
เพื่อลดข้อจำกัดของความพร้อมด้านเงินลงทุน ลดปัญหาด้านแรงงานการเกษตรที่ขาดแคลน
และ 4) ส่งเสริมและสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการจัดเก็บรักษา เช่น โกดังเก็บฟาง
และ วัสดุอุปกรณ์ การขนส่งสินค้าฟางข้าว เช่น เทรลเลอร์ ลากพ่วง เพื่อรองรับ การขยายตัวของตลาดฟางข้าว
และป้องกันผลกระทบจากสภาพอากาศที่แปรปรวนหรือภัยธรรมชาติ
“ทั้งนี้
หากคิดในแง่ของการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจของจังหวัดอุดรธานี สศท.3 พบว่า
จังหวัดอุดรธานี มีปริมาณฟางข้าว 856,752 ตัน
ซึ่งหากคำนวณจากสัดส่วนที่เกษตรกรมีการซื้อขายฟางข้าวร้อยละ 34.18 จะพบว่า
สามารถสร้างมูลค่าให้กับเกษตรกรและจังหวัดกว่า 586 ล้านบาท
(ราคาที่เกษตรกรขายเฉลี่ย 30 บาท/ก้อน ฟางข้าวมีน้ำหนักเฉลี่ย 15 กิโลกรัม/ก้อน)
ภายหลังจากนี้ ผลการสำรวจและผลการระดมความคิดเห็นดังกล่าว สศท.3
จะนำข้อมูลไปประกอบการจัดทำงานวิจัยเศรษฐกิจการเกษตร เรื่อง
การศึกษาการจัดการโซ่อุปทาน
และแนวทางการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มมูลค่าวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร กรณีศึกษา
ฟางข้าว
ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างเสนอคณะกรรมการพิจารณาโครงการวิจัยและประเมิน
สศก.
เพื่อขอความเห็นชอบและจะเผยแพร่งานวิจัยฉบับสมบูรณ์ทาง www.oae.go.th และ www.zone3.oae.go.th
ในช่วงปี 2567 โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เกษตรกร และผู้ประกอบการ
รวมถึงผู้ที่สนใจสามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์และวางแผนการบริหารจัดการฟางข้าวต่อไป
หากท่านใดสนใจข้อมูลเชิงลึกของงานวิจัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สศท.3
ได้ที่เบอร์โทร 0 4229 2557 หรืออีเมล zone3@oae.go.th”
ผู้อำนวยการ สศท.3 กล่าวทิ้งท้าย