เมื่อวันที่ 5
ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา นายสนั่น อังอุบลกุล
ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เข้าพบและหารือกับ
ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และคณะผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อแสดงความยินดีในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง
และยื่นข้อเสนอภาคเอกชนในการยกระดับภาคเกษตรและอาหารของประเทศ ณ
ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ร.อ.ธรรมนัส
พรหมเผ่า) เพื่อหารือ
ความร่วมมือและนำเสนอประเด็นต่างๆ
ของภาคเอกชนต่อการแก้ไขปัญหาด้านการเกษตรของประเทศไทย ทั้งนี้ หอการค้าฯ
ต้องขอขอบคุณท่านฯ
ที่ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาดังกล่าวและเดินหน้าพูดคุยเพื่อหาทางออกร่วมกัน
ขณะที่หอการค้าฯ ยืนยันการทำงานร่วมกับกระทรวงเกษตรฯ อย่างใกล้ชิด
ซึ่งที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าไทยมีความพร้อมที่จะยกระดับภาคเกษตรไปสู่มูลค่าสูงได้มากกว่านี้
โดยเฉพาะการส่งเสริมบทบาทของเกษตรรุ่นใหม่ที่มีความรู้
ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเทคโนโลยี เพื่อต่อยอดและขยายผลไปในแต่ละจังหวัด
ซึ่งภาคเอกชนอยากให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาสนับสนุนแหล่งเงินทุน
มาตรการลดต้นทุนภาคการเกษตร และการบริหารจัดการน้ำเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาน้ำท่วม -
น้ำแล้ง ซ้ำซาก อย่างเป็นระบบ ขณะที่หอการค้าฯ
และภาคเอกชนพร้อมสนับสนุนองค์ความรู้ รวมถึงถ่ายทอดเทคโนโลยีต่าง ๆ
ผ่านเครือข่ายหอการค้าจังหวัดทั่วประเทศไปพร้อมกัน
วันนี้ ประเทศไทยมีจุดเด่นและความพร้อมพื้นฐานด้านการเกษตร
ทั้งในเชิงปริมาณพื้นที่เพาะปลูก จำนวนเกษตรกร สภาพภูมิอากาศ
แต่ขณะเดียวกันมูลค่าการส่งออกและรายได้ของเกษตรกรยังไม่เพิ่มสูงเท่าที่ควร
ดังนั้นทุกฝ่ายจำเป็นต้องร่วมมือกันอย่างจริง ยกตัวอย่าง ประเทศเนเธอร์แลนด์
ที่ถึงแม้จะมีพื้นที่เล็กกว่าไทยถึง 12 เท่า แต่สามารถสร้างรายได้ในภาคเกษตรต่อประชากรสูงกว่าไทยถึง
10 เท่า นี่จึงถือเป็นโอกาสที่ไทยต้องเรียนรู้รูปแบบการบริหารจัดการ
โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีและงานวิจัยต่อยอดผลผลิตและการแปรรูปสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพสูง
ซึ่งส่วนนี้หอการค้าฯ พร้อมสนับสนุนการดำเนินงานกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งในอนาคตหากสามารถยกระดับการทำเกษตรสมัยใหม่ได้อย่างเป็นรูปธรรม
เกษตรกรกว่า 27 ล้านคน ที่ถือเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศจะมีรายได้ที่สูงขึ้น
เกิดการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและสามารถลดความเหลื่อมล้ำที่เป็นเป้าหมายสำคัญของรัฐบาลได้อย่างแท้จริง
นายสนั่นกล่าว
ขณะที่วันนี้ หอการค้าฯ ได้ขอให้กระทรวงเกษตรฯ
พิจารณาจัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและภาคเอกชน หรือ กรอ.กษ.
ซึ่งจะช่วยสร้างความร่วมมือภาครัฐและภาคเอกชนในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาด้านการเกษตรให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและมีความต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด
รวมถึงยื่นข้อเสนอแนะเร่งด่วนของธุรกิจเกษตรและอาหาร
ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ เพื่อร่วมขับเคลื่อนและแก้ไขปัญหาผ่าน คณะกรรมการ
กรอ.กษ โดยมีข้อเสนอใน 7 ประเด็นสำคัญ ประกอบด้วย
1) การส่งเสริมความมั่นคงและความยั่งยืนด้านอาหาร (Food Safety and
Food Security) ซึ่งภาคเกษตรเป็นส่วนสำคัญที่มีการขับเคลื่อนในเขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
APEC โดยการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค
ได้เห็นชอบในการผลักดันให้ดำเนินงานส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงอาหารในภูมิภาคเอเปค
รวมถึงการหารือเกี่ยวกับนโยบายแนวทางในการรับมือกับประเด็นท้าทายด้านความมั่นคงอาหาร
ความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ (Climate Change)
ซึ่งหอการค้าฯ
ยินดีร่วมขับเคลื่อนนโยบาย 3S ได้แก่ Safety , Security และ Sustainability เพื่อส่งเสริมความปลอดภัยอาหารให้ได้มาตรฐานสากล
ตลอดจนร่วมส่งเสริมการขับเคลื่อนภาคเกษตรด้วย BCG Model เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่า
สินค้าเกษตรและอาหารของไทย มีผลผลิตที่มีความปลอดภัยและมีคุณภาพมาตรฐาน
พร้อมเป็นครัวโลก
2) การรักษาเสถียรภาพความมั่นคงทางทะเล เสนอให้กระทรวงเกษตรฯ
ประสานงานสมาคมการค้าและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ร่วมขับเคลื่อนและรักษาเสถียรภาพความมั่นคงทางทะเล
ด้วยมาตรการป้องกันปัญหาการประมงผิดกฎหมาย หรือ IUU
Fishing ตลอดจนการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน
เพื่อยกระดับอันดับสถานการณ์การค้ามนุษย์ (TIP Report) ของประเทศไทยให้อยู่ในระดับ
Tier 1 ในปี 2024
3) การสร้างความสมดุลภาคธุรกิจเกษตรและอาหาร เสนอให้กระทรวงเกษตรฯ
กำหนดนโยบายเพื่อสร้างความสมดุลและเสถียรภาพการนำเข้า - ส่งออกภาคเกษตรและอาหาร
ระหว่างเกษตรกร และผู้ประกอบการส่งออก
เพื่อให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขัน
สร้างความมั่นคงและความยั่งยืนด้านเกษตรและอาหารของไทย
4) การส่งเสริมการสร้างเกษตรมูลค่าสูงผ่านการขับเคลื่อนเชิงพื้นที่ (Area-based) ซึ่งที่ผ่านมาหอการค้าฯ
ได้มีการขับเคลื่อนเกษตรมูลค่าสูงที่ถือเป็นศักยภาพและโอกาสที่สำคัญของประเทศไทย
โดยใช้จังหวัดเป็นผู้นำการขับเคลื่อนเนื่องจากมีความเข้าใจในศักยภาพของพื้นที่
โดยขับเคลื่อนในพื้นที่นำร่องแล้ว 7 จังหวัด
รวมถึงตั้งเป้าขยายพื้นที่จังหวัดเป้าหมายเพิ่มเติมอีก 5 จังหวัด ในปี 2567 ได้แก่
ชัยนาท เพชรบูรณ์ ชัยภูมิ อุบลราชธานี และพัทลุง
5) การส่งเสริมธุรกิจอาหารแปรรูปและอาหารแห่งอนาคต
เสนอให้ผลักดันการจัดทำระบบอาหารที่มีการกล่าวอ้างอาหารเชิงหน้าที่ (FFC Thailand) เพื่อให้ผู้ประกอบการทุกระดับสามารถยืนยันการกล่าวอ้างเชิงสุขภาพด้วยเอกสารหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ในรูปแบบออนไลน์
โดยครอบคลุมผลผลิตการเกษตร อาหารปรุงสดและอาหารท้องถิ่น
เพื่อพัฒนาไปสู่การผลิตอาหารมูลค่าสูง
พร้อมทั้งส่งเสริมนโยบายและขับเคลื่อนธนาคารอาหารของประเทศไทย (Cloud Food Bank) เพื่อความมั่นคงทางอาหาร
6) การส่งเสริมธุรกิจประมงและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง โดยหอการค้าไทย เสนอให้สนับสนุน และส่งเสริมการพัฒนาสายพันธุ์กุ้งปลอดโรค
พร้อมทั้งสนับสนุนแนวทางส่งเสริมและลดภาระต้นทุนการเลี้ยงให้กับเกษตรกร
รวมไปถึงห่วงโซ่อุตสาหกรรม (Value Chain) ตลอดจนลดภาษีการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อผลิตเป็นอาหารสัตว์
พร้อมทั้ง ได้ให้กระทรวงเกษตรฯ ส่งเสริมสินค้าเกษตร อาหาร ประมง
และการอำนวยความสะดวกในการส่งออก-นำเข้า
เพื่อการแก้ปัญหาวัตถุดิบภาคการประมงที่ไม่เพียงพอต่ออุตสาหกรรมการผลิตและการส่งออก
ควรมีการผ่อนปรนการนำเข้าวัตถุดิบสัตว์น้ำเพื่อแปรรูปเพิ่มมูลค่าและส่งออกซึ่งต้องไม่กระทบกับเกษตรกรผู้เลี้ยงภายในประเทศ
ตลอดจนส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและปกป้องสัตว์น้ำเศรษฐกิจของไทย ได้แก่
ปลากะพง ปลานิล และกุ้งก้ามกราม เป็นต้น
7) การส่งเสริมธุรกิจปศุสัตว์และแปรรูป เสนอให้กระทรวงเกษตรฯ
เร่งรัดยกระดับมาตรฐานฟาร์มปศุสัตว์ไทย โดยเฉพาะกลุ่มโคเนื้อ แพะเนื้อ และแพะนม
พร้อมทั้งเสนอให้เร่งรัดการเพิ่มจำนวนโรงฆ่าสัตว์, โรงตัดแต่งเนื้อสัตว์, โรงคัดบรรจุ ที่ได้มาตรฐาน GMP (Good
Manufacturing Practices) ทุกจังหวัดที่มีศักยภาพ
ตลอดจนเร่งรัดปราบปรามผู้ลักลอบนำเข้าหรือส่งออกสินค้าปศุสัตว์อย่างเข้มงวด เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ
รวมทั้งประชาสัมพันธ์และส่งเสริมให้ร้านค้าสินค้าปศุสัตว์ (โดยเฉพาะตลาดสด)
เข้าร่วมโครงการปศุสัตว์ OK เพื่อสร้างมาตรฐานสินค้าคุณภาพ
และสร้างความน่าเชื่อถือและยอมรับแก่ผู้บริโภค เป็นต้น