สาระดีดีนิวส์ไทม์

“รมช.ไชยา” เดินหน้าลุยพื้นที่จ.กาญจนบุรี สั่งการกรมฝนหลวงฯเติมน้ำแบบเต็มอิ่มในเขื่อนเป้าหมาย พร้อมเร่งจัดทำเขตปลอดโรคสร้างความมั่นใจประเทศคู่ค้า


นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจราชการติดตามสถานการณ์น้ำ การปฏิบัติการฝนหลวง และปัญหาลักลอบนำเข้าสินค้าปศุสัตว์ (วัว/หมู) ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี พร้อมทั้งมอบนโยบาย เพื่อเป็นแนวทางขับเคลื่อนการดำเนินงานของส่วนราชการในสังกัด  โดยมี หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารส่วนราชการจังหวัดกาญจนบุรี เข้าร่วม ณ ห้องประชุมบุษราคัม องค์การบริหารส่วนจังหวัดกาญจนบุรี จ.กาญจนบุรี ว่า จากรายงานสถานการณ์น้ำในเขื่อนศรีนครินทร์พบว่ายังสามารถเก็บกักน้ำเพิ่มเติมได้อยู่ จึงได้สั่งการให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงเคลื่อนที่เร็ว จำนวน 3 ชุด STB  ณ สนามบินนครสวรรค์ ระดมกำลังเครื่องบินปฏิบัติการฝนหลวงรุ่นกาซ่า และรุ่นคาราแวน เริ่มปฏิบัติการวันที่ 17 ตุลาคม 2566 เพื่อภารกิจการเติมน้ำแบบเต็มอิ่มในเขื่อนเป้าหมายภายใน 10 วัน ประกอบด้วย เขื่อนศรีนครินทร์         จ.กาญจนบุรี อ่างเก็บน้ำกระเสียว จ.สุพรรณบุรี อ่างเก็บน้ำทับเสลา จ.อุทัยธานี รวมถึงพื้นที่การเกษตรภายในจังหวัดกาญจนบุรี และจังหวัดใกล้เคียง เพื่อเติมน้ำในเขื่อนให้เพียงพอรองรับสถานการณ์ภัยแล้ง รวมถึงได้สั่งการให้เตรียมความพร้อมเครื่องจักร และเครื่องมือให้พร้อมใช้งานเสมอเพื่อให้สามารถช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันถ่วงที



นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ โดย กรมปศุสัตว์ ได้มีการบูรณาการร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการตรวจสอบห้องเย็นอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมถึงเส้นทางการนำเข้าทุกเส้นทางตามนโยบายประกาศสงครามสินค้าเกษตรผิดกฎหมาย พร้อมทั้งได้มีการยกเลิกการนำเข้าชิ้นส่วนเนื้อสุกรทุกประเภท และชะลอการนำเข้าโคเนื้อ-กระบือ เพื่อแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าสุกร โคเนื้อ และกระบือผิดกฎหมายมาจำหน่ายในราคาถูก ทำให้กลไกราคาบิดเบือนไป สำหรับปัญหาโรคระบาดในสัตว์ สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดกาญจนบุรีได้ดำเนินการฉีดวัคซีนป้องกันโรคปากและเท้าเปื่อย(FMD) ในโคนมทุก 4 เดือน และโคเนื้อทุก 6 เดือน ขณะนี้ดำเนินการฉีดวัคซีนป้องกันโรคปากและเท้าเปื่อยในโคและกระบือ รอบที่ 1/2567 คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคม 2566 เพื่อเร่งกำจัดโรคระบาดให้คืนสู่สถานภาพปลอดโรค และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศคู่ค้า ซึ่งจากการเจรจาเปิดตลาดการส่งออกมีฟาร์มโคเนื้อที่ผ่านหลักเกณฑ์ของกรมปศุสัตว์ สามารถส่งออกไปยังประเทศเวียดนาม จำนวน 2 ฟาร์ม และส่งออกไปยังประเทศมาเลเซีย จำนวน 1 ฟาร์ม



                “สำหรับวันนี้ได้มอบหมายหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ให้มีการสำรวจความต้องการของประชาชน ประกอบการทำแผนดำเนินงานโดยเร่งให้ทันปีงบประมาณ 2568 เพื่อการจัดทำแผนขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนได้อย่างตรงจุด นอกจากนี้ด้านปศุสัตว์ได้จัดทำเขตปลอดโรค เพื่อสร้างโอกาสในการระบายโคเนื้อออกไปยังตลาดประเทศเป้าหมาย โดยเฉพาะประเทศจีนและประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่และมีความต้องการโคเนื้อสูง จึงเป็นโอกาสสำคัญที่เกษตรกรภายในประเทศจะมีรายได้ที่มั่นคงมากขึ้น ” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  กล่าว 

แสดงความคิดเห็น (0)
ใหม่กว่า เก่ากว่า
สาระดีดีนิวส์ไทม์
สาระดีดีนิวส์ไทม์
สาระดีดีนิวส์ไทม์