นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์
อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังรับทราบมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 7
พฤศจิกายน 2566 ซึ่งมีมติเห็นชอบมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต
2566/2567 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
สำหรับช่วยเหลือชาวนาที่ประสบปัญหาราคาข้าวตกต่ำ ว่า“กรมส่งเสริมสหกรณ์
เล็งเห็นถึงปัญหาความเดือดร้อนของชาวนา
โดยเฉพาะเรื่องการถูกกดราคารับซื้อข้าวเปลือกต่ำกว่าราคาที่เป็นธรรม
พร้อมบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก
ปีการผลิต 2566/2567 เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของชาวนา
ด้วยวิธีการดูแลราคาข้าวเปลือกผ่านโครงการสำคัญ 2 โครงการ ประกอบด้วย
1.โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี และ
2.โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่ม”
โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี
เป็นโครงการที่ต้องการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาผลผลิตข้าวเปลือกออกสู่ตลาดพร้อมกันในฤดูเก็บเกี่ยว
จนเป็นต้นเหตุของปัญหาราคาข้าวถูกกดต่ำลงอย่างไม่เป็นธรรม
จึงต้องการส่งเสริมให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรเก็บข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของตนเองไว้รอราคาที่หมาะสม
ซึ่งจะส่งผลให้ราคาในตลาดมีเสถียรภาพ โดยระหว่างการรอขายผลผลิตข้าวเปลือก
เกษตรกรสามารถขอรับสินเชื่อจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในครัวเรือน
และเมื่อข้าวเปลือกที่เก็บรักษาไว้ในยุ้งฉางมีราคาสูงขึ้นจนเป็นที่น่าพอใจ
ก็สามารถไถ่ถอนข้าวเปลือกหลักประกันออกมาจำหน่าย
ซึ่งจะได้รับส่วนต่างของราคาข้าวเปลือกในราคาที่สูงขึ้น
โดยรัฐบาลจะช่วยค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวในอัตรา 1,500 บาทต่อตัน ทั้งนี้
เกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางของตนเองจะได้รับเต็มจำนวน สถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเข้าโครงการได้รับในอัตรา
1,000 บาท/ตัน และเกษตรกรผู้ขายข้าวได้รับในอัตรา 500 บาท/ตัน
โดยมีเป้าหมายจัดเก็บที่ 3,000,000 ตัน เริ่มตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2566 ถึง 29
กุมภาพันธ์ 2567 โดยกำหนดราคาข้าวหอมมะลิตันละ 12,000 บาท ข้าวหอมมะลินอกพื้นที่
ตันละ 10,500 บาทข้าวหอมมะลิปทุมธานี ตันละ 10,000 บาท ข้าวเจ้า ตันละ 9,000 บาท
และข้าวเหนียว ตันละ 10,000 บาท
“ขณะที่
โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่ม
จะเป็นสินเชื่อเพื่อช่วยให้สถาบันเกษตรกรมีศักยภาพในการรวบรวมข้าวเปลือกจากสมาชิกและเกษตรกรทั่วไปแข่งกับราคาตลาดได้
ซึ่งจะส่งผลให้ราคาข้าวเปลือกในตลาดมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น
โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
จะสนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกสำหรับจำหน่ายหรือแปรรูป
โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ 1,000,000 ตัน โดยสหกรณ์จ่ายดอกเบี้ย 1% และรัฐช่วยดอกเบี้ย
3.85% ระยะเวลา 15 เดือน เริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2566 ถึง 30 กันยายน 2567 ทั้งนี้
ทั้งสองโครงการดังกล่าวใช้งบประมาณ 10,600 ล้านบาท และเป็นสินเชื่ออีก 44,437
ล้านบาท
โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์มีความมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนงานในความรับผิดชอบ
ดูแลสมาชิกสหกรณ์ให้ได้รับประโยชน์สูงสุด เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของพี่น้องชาวนา
โดยได้ขอความร่วมมือสหกรณ์ที่เข้าร่วมโครงการทุกแห่งรับซื้อข้าวหอมมะลิสด
(ความชื้นประมาณ 25%) ในราคาเริ่มต้นที่ 12,000
บาท/ตัน” อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าว