นายชายศักดิ์
วุฒิศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 12
นครสวรรค์ (สศท.12) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.)
เปิดเผยว่าจังหวัดนครสวรรค์ นับเป็นแหล่งปลูกกล้วยน้ำว้าดง (น้ำว้าเขียว)
ที่สำคัญของจังหวัดนครสวรรค์เนื่องจากพื้นที่สามารถปลูกกล้วยได้ตลอดทั้งปี
เกษตรกรในพื้นที่จึงเกิดแนวคิดรวมกลุ่ม แปลงใหญ่กล้วยตัดใบ หมู่ที่ 5 ตำบลย่านมัทรี อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์
ซึ่งเป็นแปลงใหญ่กล้วยตัดใบแห่งเดียวในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อจัดหาและขยายตลาดโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง
สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกกล้วยตัดใบในพื้นที่
จากการติดตามของ สศท.12 พบว่า กลุ่มแปลงใหญ่กล้วยตัดใบเกิดจากการรวมตัวของเกษตรกรในพื้นที่เริ่มดำเนินการ
ปี 2565 ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกรวม 374
ไร่ มีสมาชิก 32 ราย โดยมีนางนารี ลอยบัณฑิต
เป็นประธานแปลงใหญ่ เกษตรกรนิยมปลูกกล้วยพันธุ์น้ำว้าเขียว
เนื่องจากสามารถตัดใบได้ตลอดทั้งปี สีสวยกว่ากล้วยพันธุ์อื่น
เมื่อนำไปห่อหุ้มอาหารหรือขนมจะไม่มีรสขมของใบกล้วยปะปนกับอาหาร
เกษตรกรที่ปลูกกล้วยตัดใบลงทุนในปีแรก (ต้นทุนก่อนให้ผล) 9,875 บาท/ไร่ ประกอบด้วย ค่าหน่อพันธุ์กล้วย ค่าเตรียมพื้นที่ ค่าแรงงานปลูก
และค่า ใช้จ่ายอื่น ๆ ในช่วงการเก็บเกี่ยวผลผลิต (ต้นกล้วยอายุ 6 – 8 เดือน) จะมีต้นทุนเฉลี่ย 13,933.75 บาท/ไร่/ปี
ค่าใช้จ่ายหลัก ๆ คือ การเก็บเกี่ยวผลผลิต
เนื่องจากเกษตรกรให้ความสำคัญในกระบวนการเก็บเกี่ยวและการรักษาใบกล้วยให้ได้คุณภาพตามมาตรฐาน
ตรงกับความต้องการของตลาดซึ่งต้องใช้ความพิถีพิถัน
โดยเกษตรกรสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ 10 - 20 ปี ผลผลิตเฉลี่ย 3,360
กิโลกรัม/ไร่/ปี ราคาขายได้ ณ เดือนธันวาคม 2566 เฉลี่ย 8
- 10 บาท/กิโลกรัม แต่หากเป็นช่วงฤดูแล้งที่ใบกล้วยขาดแคลน
(ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2566) ราคาจะสูงถึง 11 – 14 บาท/กิโลกรัม ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 26,880 บาท/ไร่/ปี
คิดเป็นผลตอบแทนสุทธิเฉลี่ย (กำไร) 12,946.25 บาท/ไร่/ปี
ด้านสถานการณ์ตลาด ผลผลิตส่วนใหญ่ ร้อยละ 85
พ่อค้าคนกลางในพื้นที่ที่เข้ามารับสินค้าเพื่อนำไปส่งต่อตลาดขายส่ง
และผลผลิตร้อยละ 15
จำหน่ายเองโดยตรงไม่ผ่านคนกลางโดยส่วนใหญ่ส่งไปขายที่ตลาดสี่มุมเมือง
ซึ่งสามารถจำหน่ายได้ราคาสูงกว่าที่จำหน่ายผ่านพ่อค้าคนกลางประมาณ 3 - 4 บาท/กิโลกรัม
ด้านกระบวนการผลิตกล้วยตัดใบของกลุ่ม พบว่า
เมื่อเกษตรกรนำหน่อพันธุ์กล้วยมาปลูกจนได้อายุ 7 – 8 เดือน ซึ่งเป็นช่วงที่ต้นกล้วยเจริญเติบโตเต็มที่
เกษตรกรจะทำการเก็บเกี่ยวใบกล้วยโดยจะตัดใบแล้วนำก้านใบมาซอยแยกใบออกจากก้าน
พับใบเป็นมัด (ใบกล้วยหนึ่งมัดมี 10 พับ หรือน้ำหนัก 10 กิโลกรัม) โดยจะเก็บเกี่ยวในช่วงที่ไม่มีน้ำค้าง
เพราะหากเก็บเกี่ยวช่วงมีความชื้นผลผลิตใบกล้วยจะแตก/ฉีกขาด
นิยมเก็บเกี่ยวในช่วงเช้า 6.00 - 8.00 น. และช่วงเย็น 17.00
- 18.00 น. สำหรับการดูแลรักษา
เกษตรกรจะให้น้ำสปริงเกอร์แบบท่อนในสวนกล้วยหรือสูบแบบเทราด เฉลี่ย 2 - 4 ครั้ง/เดือน
ทั้งนี้
เมื่อกล้วยต้นแม่ออกลูกแล้วจะตัดต้นแม่ทิ้ง
เนื่องจากเป็นกล้วยตัดใบเพื่อให้หน่อใหม่เจริญเติบโต สำหรับการดูแลรักษา
เกษตรกรให้น้ำสปริงเกอร์แบบท่อนในสวนกล้วยหรือสูบแบบเทราด เฉลี่ย 2 - 4 ครั้ง/เดือน สำหรับหน่อกล้วยที่สมบูรณ์
เกษตรกรสามารถตัดขายพันธุ์หน่อกล้วยจำหน่ายได้ราคาเฉลี่ย 10 - 15 บาท
ปริมาณที่จำหน่ายได้ขึ้นอยู่กับคำสั่งซื้อจากเกษตรกรในพื้นที่และพื้นที่ใกล้เคียง
(มีต้นทุนค่าแรงงานขุดหน่อกล้วย 5 บาท/หน่อ) ส่วนปลีกล้วย
เกษตรกรจำหน่ายให้แก่ร้านอาหารในพื้นที่เพื่อนำไปประกอบเมนูอาหารปลีกล้วยครั้งละ 10
- 20 กิโลกรัม
(ราคาเฉลี่ยปลีกล้วย 5 บาท/กิโลกรัม) ขึ้นอยู่กับคำสั่งซื้อ
โดยเฉลี่ยเกษตรกรมีรายได้จากการขายหัวปลี 500 - 2,000
บาท/เดือน
การปลูกกล้วยตัดใบสามารถสร้างรายได้ให้กับประชาชนในกลุ่มได้เป็นอย่างมาก หากมีตลาดที่กลุ่มสามารถขายตรงได้ไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง กลุ่มสามารถผลิตได้ตามความต้องการเนื่องจากมีพื้นที่ปลูกกล้วยตัดใบในตำบลอย่างเพียงพอ ทั้งกลุ่มมีการพัฒนาศักยภาพการผลิตอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ใบกล้วยที่มีคุณภาพ สำหรับท่านใดที่สนใจข้อมูลสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่นางนารี ลอยบัณฑิต โทร 08 5730 9552 หรือ สศท.12 โทร 0 5680 3525 อีเมล์ zone12@oae.go.th