นายพีรพันธ์ คอทอง
อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า
กรมส่งเสริมการเกษตรให้ความสำคัญกับการผลิตทุเรียนไทยที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภคมาอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงต้นฤดูกาลทุเรียนปี
2567 นี้
จะมีการดำเนินงานตามมาตรการควบคุมและป้องกันทุเรียนอ่อนอย่างเข้มงวด
ซึ่งที่ผ่านมาภาคตะวันออก มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี
ถึงแม้ปีที่ผ่านมาจะได้ผลเป็นที่น่าพอใจ แต่อย่างไรก็ดีการเฝ้าระวังความเสี่ยง
ปัญหาทุเรียนอ่อนซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อราคาทุเรียนทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
อีกทั้งส่งผลด้านลบต่อภาพลักษณ์ทุเรียนไทยในสายตาผู้บริโภค
และสร้างความเสียหายต่อธุรกิจการค้าทุกภาคส่วนตลอดห่วงโซ่การผลิตทุเรียน
กรมส่งเสริมการเกษตรพร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้ร่วมกันดำเนินการป้องกันทุเรียนอ่อน
โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกซึ่งเป็นแหล่งผลิตใหญ่
มีผลผลิตออกสู่ตลาดก่อนพื้นที่อื่น ในขณะที่ช่วงต้นฤดูผลผลิตยังน้อย
แต่ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อสูง โดยร่วมกับหน่วยงานภาคีทั้งภาครัฐ เอกชน
และเกษตรกรวางแนวทางการบริหารจัดการทุเรียนเพื่อการส่งออกภาคตะวันออก
กำหนดวันเก็บเกี่ยวทุเรียนภาคตะวันออก ปี 2567
เพื่อใช้เป็นกรอบระยะเวลาในการดำเนินงานตามมาตรการฯ
เพื่อให้ผลผลิตทุเรียนที่ออกสู่ตลาดมีคุณภาพ คือ พันธุ์กระดุม วันที่ 15 เมษายน 2567 พันธุ์ชะนี และพวงมณี วันที่ 5 พฤษภาคม 2567 พันธุ์หมอนทอง วันที่ 20 พฤษภาคม 2567
โดยได้กำหนดค่าเฉลี่ยของเปอร์เซ็นต์น้ำหนักแห้งในเนื้อทุเรียนแต่ละสายพันธุ์ไว้
ดังนี้ 1) พันธุ์กระดุม ไม่น้อยกว่า 27
เปอร์เซ็นต์ 2) พันธุ์ชะนี ไม่น้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ 3) พันธุ์พวงมณี ไม่น้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ และ 4) พันธุ์หมอนทอง ไม่น้อยกว่า 32 เปอร์เซ็นต์ อ้างอิงตามมาตรฐานสินค้าเกษตร เรื่อง ทุเรียน (มกษ. 3-2556)
อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร
กล่าวอีกว่า กรมส่งเสริมการเกษตร
โดยสำนักงานเกษตรจังหวัดจะเป็นหน่วยรับผิดชอบในการจัดทำประกาศร่วมกับจังหวัดต่อไป
ในส่วนของเกษตรกรได้มีการขอความร่วมมือก่อนจะเก็บเกี่ยวตามวันประกาศฯ
ให้นำตัวอย่างผลทุเรียนที่จะทำการเก็บเกี่ยวมาให้เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร ณ
สำนักงานเกษตรอำเภอ หรือสถานที่ที่กำหนด
เพื่อทำการตรวจวัดเปอร์เซ็นต์น้ำหนักแห้งในเนื้อทุเรียนเพื่อออกใบรับรองการตรวจสอบเปอร์เซ็นต์น้ำหนักแห้งเนื้อทุเรียน
สำหรับใช้แนบไปกับรถขนส่งทุเรียนไปที่ล้ง/โรงคัดบรรจุ ซึ่งแต่ละจังหวัดอาจมีกำหนดระยะเวลาดำเนินการที่แตกต่างกัน
เพื่อให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่
จึงขอให้ดำเนินการตามประกาศของแต่ละจังหวัดเป็นหลัก
นอกจากนี้
กรมส่งเสริมการเกษตรขอเน้นย้ำแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้เกษตรกรใช้บริหารจัดการสวนเพื่อให้ได้ทุเรียนที่มีคุณภาพในแต่ละปี
ดังนี้ 1) ตรวจวิเคราะห์ดินและใบพืชเพื่อสามารถให้ปุ๋ยตามผลการวิเคราะห์
ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและไม่เกิดผลเสียต่อดิน 2) ตัดแต่งช่อดอกและผล
เพื่อให้ได้ผลทุเรียนที่มีคุณภาพ ช่วยลดการใช้ปุ๋ย และง่ายต่อการดูแลรักษา 3)
ให้ปุ๋ยที่เหมาะสมกับช่วงเวลาในการพัฒนาผล
จะช่วยให้ประหยัดต้นทุนและแรงงานในการจัดการ 4) ช่วยผสมเกสรในช่วงเวลาดอกบานพร้อมผสม
(ประมาณ 19.00 น.) ช่วยให้ทุเรียนรูปทรงสวยเต็มทรง
เป็นที่ต้องการของตลาด และ 5) เก็บเกี่ยวทุเรียนที่สุกแก่เหมาะสม
พร้อมจัดการหลังเก็บเกี่ยวที่ถูกต้อง ทำให้ผลผลิตมีคุณภาพส่งถึงผู้บริโภค
จึงขอให้เกษตรกรเฝ้าระวัง และติดตามข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
อันเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการพัฒนาการและคุณภาพของผลทุเรียนอย่างต่อเนื่อง
อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร
กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า
ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรให้ความรู้เกษตรกรชาวสวนทุเรียนในการขึ้นทะเบียนเกษตรกรและปรับปรุงข้อมูลในทุกปี
เพื่อให้ภาครัฐสามารถวางแผนการผลิต การตลาด
ส่งเสริมสนับสนุนเกษตรกรได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และจัดทำโครงการตามมาตรการต่าง ๆ
เพื่อให้ความช่วยเหลือเกษตรกร พร้อมทั้งส่งเสริมให้เกษตรกรมีการขอรับรองมาตรฐาน GAP (Good Agricultural Practices)
เพื่อให้ได้ผลผลิตทุเรียนที่มีคุณภาพ
ปลอดภัยต่อเกษตรกรและผู้บริโภค และยังส่งผลดีต่อการส่งออกทุเรียนไปยังต่างประเทศ
โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าที่สำคัญอย่างสาธารณรัฐประชาชนจีน
ซึ่งมีข้อกำหนดขั้นตอนการส่งผลไม้สดจากไทยไปจีนที่เข้มงวด
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อคู่ค้าและผู้บริโภค ทั้งนี้
เกษตรกรสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และวิธีการขอใบรับรองมาตรฐาน GAP
ได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอ หรือสำนักงานเกษตรจังหวัดใกล้บ้าน
โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย