สาระดีดีนิวส์ไทม์

สทป. จับมือ สวก.และ สวพ.ลงนาม MOU ยกระดับการขนส่งสินค้าเกษตรไทย หนุนผลงานวิจัยแก้ปัญหาต้นทุนการขนส่งพื้นที่ห่างไกลด้วยการใช้เทคโนโลยีโดรนเพื่อการเกษตร

 


วันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) โดย นาวาอากาศเอก
คมสันต์ ประพันธ์กาญจน์ รักษาการผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) โดยดร.วิชาญ อิงศรีสว่าง ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร และ สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) โดยนายวิรัตน์ ปราบทุกข์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับ เพื่อส่งเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจด้านการเกษตรอย่างยั่งยืน ณ สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ โดยการลงนามครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก พลเอก พอพล มณีรินทร์  ประธานกรรมการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ และ นายชวลิต ชูขจร ประธานกรรมการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร และ ประธานสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง ได้ให้เกียรติเป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามและแสดงความยินดีที่ทั้ง 3 หน่วยงานจะได้ร่วมกันพัฒนาในเทคโนโลยีและผลงานวิจัยที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อแก้ปัญหาและก่อให้เกิดประโยชน์ของประเทศ



พลเอก พอพล มณีรินทร์ ประธานกรรมการสถาบันเทคโนโลยี กล่าวว่า รู้สึกยินดีที่มีความร่วมมือของทุกฝ่ายในวันนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับ ตลอดจนเป็นประโยชน์ในด้านการสร้างเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจด้านการเกษตรอย่างยั่งยืน รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศสู่การต่อยอดการใช้ประโยชน์ 



        นายชวลิต ชูขจร ประธานกรรมการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร และ ประธานสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง กล่าวว่า ปัญหาสำคัญของภาคการเกษตรของประเทศ คือ ปัญหาด้านการตลาดและโลจิสติกส์ เนื่องจากการขนส่งสินค้าการเกษตรในบางพื้นที่ มีข้อจำกัดและยากต่อการเดินทาง ทำให้ต้นทุนในด้านการขนส่งสูง 

            ความร่วมมือในครั้งนี้ จะเป็นการบูรณการองค์ความรู้ รวมถึงบทบาทและหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน เพื่อร่วมกันศึกษา วิจัย และคิดค้นนวัตกรรมเกษตรสมัยใหม่เพื่อแก้ปัญหาด้านการขนส่งผลผลิตทางการเกษตรและปัจจัยการผลิตทางการเกษตรโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่สูง ซึ่งจะนำไปสู่การต่อยอดการใช้ประโยชน์ทั้งเชิงพาณิชย์และเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะต่อไป



นาวาอากาศเอกคมสันต์ ประพันธ์กาญจน์ รักษาการผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ 
กล่าวว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือจากทั้ง 3 หน่วยงาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ด้านการเกษตรอย่างยั่งยืน
ด้วยการบูรณาการเทคโนโลยีระบบ อากาศยานไร้คนขับสำหรับกิจกรรมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ภายใต้แนวคิดเทคโนโลยีสองทาง (Dual-Use Technology) สำหรับภาคอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการด้านการเกษตรและพลเรือน โดยมุ่งเน้นการขนส่งผลผลิตทางการเกษตร รวมทั้งเศษวัสดุทางการเกษตรหลังจากบดอัดแล้วเพื่อขนส่งไปที่โรงงานซึ่งเน้นพื้นที่ทุรกันดารหรือเข้าถึงยาก ตลอดจนการให้การศึกษา วิจัยและพัฒนาการฝึกอบรมการใช้งาน การปรนนิบัติบำรุงและการซ่อมบำรุงอากาศยานไร้คนขับ กิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (Corporate Social Responsibility) ของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและการพัฒนางานด้านอากาศยานไร้คนขับ สำหรับการให้บริการด้านการขนส่ง ปัจจัยการผลิต อุปกรณ์เครื่องมือและผลผลิตที่เกี่ยวข้องกับด้านการเกษตร และร่วมกันสนับสนุนผลักดันให้เกิดการนำผลงานไปสู่การต่อยอดการใช้ประโยชน์และแก้ปัญหาให้แก่ภาคการเกษตรของประเทศ 



               ดร.วิชาญ อิงศรีสว่าง ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) (สวก.) ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนทุนวิจัยด้านการเกษตรตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกองทุนส่งเสริม ววน. การสนับสนุนทุนวิจัยโดรนด้านการเกษตรนี้ จะเป็นการผลิกโฉมการพัฒนาโดรนให้เป็นโดรนอเนกประสงค์นอกเหนือจากการพ่นยา ปุ๋ยเคมี การสำรวจ ยังถูกคิดค้นและพัฒนาให้สามารถส่งผลผลิตเกษตรจากพื้นที่การขนส่งที่เข้าถึงได้ยาก ได้คราวละมากๆ รวมถึงเป็นการบินสำรวจพื้นที่เสี่ยง และพื้นที่ประสบภัยพิบัติที่จะช่วยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้สามารถช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังพัฒนาขีดความสามารถในการสำรวจพื้นที่แปลงเกษตรประกอบการทำข้อมูลระดับพื้นที่ เพื่อเป็นฐานข้อมูลสำหรับ
วางแนวทางพัฒนาแปลงเกษตร ทั้งนี้ ในอนาคตคาดว่าผลงานวิจัยดังกล่าวนี้จะได้รับความสนใจจากภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนเพื่อร่วมต่อยอดและยกระดับการขนส่งให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 

      นายวิรัตน์ ปราบทุกข์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง กล่าวว่า ความร่วมมือนี้จะเป็นประโยชน์ต่อชุมชนบนพื้นที่สูงและ สอดคล้องกับแนวคิดทำน้อยได้มาก ทำให้สามารถเคลื่อยย้ายสินค้าเกษตรที่มีมูลค่าสูงจากพื้นที่สูงมาสู่ผู้บริโภคโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

การลงนามในครั้งนี้ นับเป็นโอกาสครั้งสำคัญของประเทศไทย ในการร่วมยกระดับอุตสาหกรรม
ภาคการเกษตรฯ และอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ และส่งเสริมการเติบโตและต่อยอดในภาคธุรกิจ ตลอดจนเป็นการเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการและพัฒนาบุคลากรของทั้ง 3 องค์กรไปพร้อมๆ กันซึ่งล้วนแต่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศไทยต่อไป©                                      

 

แสดงความคิดเห็น (0)
ใหม่กว่า เก่ากว่า
สาระดีดีนิวส์ไทม์
สาระดีดีนิวส์ไทม์
สาระดีดีนิวส์ไทม์