ปาล์มน้ำมัน
เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย มีพื้นที่เพาะปลูกและผลผลิตเป็นอันดับ 3
ของโลกรองจากประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซีย เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน
มีจำนวนประมาณ 4.1 แสนครัวเรือนทั่วประเทศ ส่วนใหญ่เป็นรายย่อย และร้อยละ 80
ของเกษตรกรรายย่อยเป็นการปลูกและผลิตน้ำมันปาล์มแบบดั้งเดิม
ซึ่งมักเผชิญกับปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า มลพิษทางอากาศ และปัญหาทางสังคม
ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและความเป็นอยู่ของชุมชนอีกทั้งมีข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
และองค์ความรู้และแนวทางในการจัดการสวนปาล์มเพื่อการผลิตอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน
ทำให้ที่ผ่านมาเกษตรกรมีอำนาจต่อรองน้อย
เสี่ยงต่อการถูกกดราคาผลผลิตรวมถึงมาตรการกีดกันทางการค้า
เนื่องจากทั่วโลกให้ความสำคัญกับสินค้าที่ผลิตอย่างยั่งยืนมากขึ้น
การปรับตัวสู่ความยั่งยืนในอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มจึงเป็นทางออกสำคัญในการแก้ปัญหาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นายวิชาญ
อิงศรีสว่าง ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร กล่าวว่า มาตรฐาน RSPO (Roundtable on Sustainable Palm Oil) เป็นมาตรฐานการผลิตน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืนที่ปัจจุบันได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติมากที่สุด
โดยมีวัตถุประสงค์
เพื่อส่งเสริมการเติบโตและการใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มที่ผ่านมาตรฐานสากล
โดยกำหนดหลักการ 7 ข้อ เพื่อเป็นกรอบการผลิตปาล์มที่ยั่งยืน ครอบคลุมตั้งแต่การบริหารจัดการ
การปฏิบัติตามกฎหมาย ด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม แน่นอนว่าการปลูกปาล์มแบบ RSPO
เป็นมาตรฐานเพื่อความยั่งยืนมีขั้นตอนมากกว่าการปลูกแบบเดิม
ทั้งการจัดเตรียมเอกสาร การเก็บข้อมูลเพื่อประกอบการขอรับการรับรองต่างๆ
ทำให้เกษตรกรบางรายถอดใจถึงแม้จะทราบว่าราคาขายในตลาดให้ราคาปาล์มที่สูงกว่า
การพัฒนาและผลักดันให้เกษตรกรรายย่อยเข้าสู่การปลูกปาล์มอย่างยั่งยืนเพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและการขอการรับรองมาตรฐาน
RSPO จึงเป็นเรื่องที่สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร
(องค์การมหาชน) หรือ ARDA ให้ความสำคัญและได้ให้การสนับสนุนทุนวิจัยแก่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี
ดำเนินโครงการ“การขยายผลความสำเร็จโครงการพัฒนาการผลิตปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืนแบบบูรณาการสู่กลุ่มเกษตรกรรายย่อย”
จากข้อมูลของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)
ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกปาล์มประมาณ 6 ล้านไร่ เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มกว่า 4
แสนครัวเรือน โดยข้อมูลปี 2566 พบว่า ผลผลิตปาล์มน้ำมันของไทยมีจำนวน 18.27
ล้านตัน สามารถผลิตเป็นน้ำมันปาล์มได้ 3.33 ล้านตัน
ปัจจุบันจากข้อมูลเครือข่ายปาล์มน้ำมันยั่งยืนเดือนตุลาคม 2567
ประเทศไทยมีสมาชิกผู้ปลูกปาล์มน้ำมันตามมาตรฐาน RSPO
รวม 91 กลุ่ม ประกอบด้วย เกษตรกรรายใหญ่รายย่อย
โดยกลุ่มเกษตรกรรายย่อยอิสระที่ได้รับการรับรองจาก RSPO จำนวน
34 กลุ่ม ครอบคลุมเกษตรกรกว่า 9,062 ราย ซึ่งพื้นที่ได้รับการรับรอง จำนวน 283,818
ไร่
จากข้อมูลข้างต้น โครงการวิจัยนี้
จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยผลักดันให้เกษตรกรรายย่อยสามารถปลูกปาล์มน้ำมันให้ได้มาตรฐาน
RSPO โดยการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืนสู่กลุ่มเกษตรกรรายย่อยและเตรียมความพร้อมเพื่อขอการรับรองมาตรฐาน
RSPO โดยดำเนินโครงการในพื้นที่ 4 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่
จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี กระบี่ และตรัง มีเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน
เครือข่ายวิสาหกิจชุมชน แปลงใหญ่ปาล์มน้ำมัน และสหกรณ์ปาล์มน้ำมัน เข้าร่วมทั้งหมด
8 หน่วยงาน มีสมาชิก 1,947 ราย พื้นที่ปลูกปาล์มรวม 54,793.48 ไร่ ในปี พ.ศ. 2567
มีผลผลิตทั้งหมดประมาณ 168,421.21 ตัน
สร้างรายได้ให้เกษตรกรที่ผ่านการรับรองได้มากกว่า 114 ล้านบาทต่อปี
ด้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์
ดร.เบญจมาภรณ์ พิมพา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี
หัวหน้าโครงการวิจัยฯ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า โครงการ
“การขยายผลความสำเร็จโครงการพัฒนาการผลิตปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืนแบบบูรณาการสู่กลุ่มเกษตรกรรายย่อย”
เป็นการขยายผลต่อจากโครงการ “การพัฒนาการผลิตปาล์มน้ำมันแบบยั่งยืนแบบบูรณาการ”
ที่ได้เตรียมความพร้อมของสมาชิกตามมาตรฐานเกษตรกรรายย่อย RSPO ฉบับเดิมครบถ้วนแล้ว
โดยกระบวนการวิจัยเริ่มจากการสำรวจจำนวนสมาชิกใหม่รุ่นที่ 2 ของกลุ่ม RSPO ที่ได้เคยเข้าร่วมโครงการวิจัยหรือให้คำปรึกษามาเข้ารับการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้
จำนวน 5 หลักสูตร ได้แก่ ระบบมาตรฐาน RSPO สำหรับเกษตรกรรายย่อย
ระบบควบคุมภายในกลุ่ม การตรวจติดตามภายในแปลงสมาชิก การตรวจติดตามภายในกลุ่ม
และการจัดเก็บข้อมูลสมาชิก เพื่อนำไปจัดทำเอกสารประกอบการฝึกอบรม
และสมุดบันทึกสวนปาล์ม ซึ่งหลังจากจบการอบรม ทางคณะวิจัยฯ
ได้มีการติดตามการปฏิบัติตามมาตรฐาน RSPO เดือนละ 2
ครั้งต่อกลุ่ม เพื่อติดตามความก้าวหน้าของการทำฐานข้อมูลของกลุ่ม
และการดำเนินการตามข้อกำหนดของสมาชิกกลุ่ม หากมีข้อที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐาน
ก็จะให้ผู้จัดการกลุ่มและสมาชิกดำเนินการแก้ไขในเบื้องต้น
นอกจากนี้ยังมีการตรวจประเมินผลการดำเนินการเข้าสู่มาตรฐาน RSPO เบื้องต้น (Pre-audit) จากคณะวิจัย
โดยจะสรุปผลการตรวจ Pre-audit และเสนอเพื่อให้คำแนะนำกับกลุ่มที่เข้าร่วมโครงการ
พร้อมทั้งแจ้งผลความไม่สอดคล้องให้กับสมาชิกเพื่อนำไปแก้ไขตามระยะเวลาที่กำหนด
ซึ่งทุกขั้นตอนจะมีทางคณะนักวิจัยร่วมให้คำแนะนำและอำนวยความสะดวกอย่างใกล้ชิด
และจากการประเมินผลการใช้ประโยชน์จากงานวิจัย พบว่าโครงการนี้สร้างมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมได้
260.74 ล้านบาท
“และจากการมุ่งมั่นดำเนินโครงการอย่างจริงจังเพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้วยการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยให้พร้อมแข่งขันในตลาดโลกผ่านการปฏิบัติตามมาตรฐาน
RSPO ส่งผลให้โครงการนี้ได้รับรางวัล
ผลงานวิจัยแห่งชาติที่มีผลกระทบสูง ประจำปี 2567 Prime Minister’s TRIUP
Award for Research Utilization with High Impact ระดับดีเด่น ในงาน
TRIUP FAIR ของ
สกสว. ซึ่งเป็นงานใหญ่ระดับประเทศที่จัดขึ้นเพื่อยกย่องผลงานวิจัย เทคโนโลยี
และนวัตกรรม ที่สร้างผลกระทบสูง ต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย
ซึ่งถือเป็นขวัญกำลังใจในการพัฒนาและสนับสนุนงานวิจัยเพื่อขับเคลื่อนภาคการเกษตรต่อไป”
นายวิชาญ กล่าว