“ข้าว”
ไม่เพียงเป็นอาหารหลักของประชากรโลกนับพันล้านคน แต่สำหรับประเทศไทย
ข้าวคือหัวใจของวัฒนธรรม วิถีชิวิต
และยังเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจที่มีบทบาทสำคัญต่อโครงสร้างเศรษฐกิจมาอย่างยาวนาน
ทั้งในแง่ของการสร้างงานและรายได้ให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการในภาคส่วนที่เกี่ยวข้องไปจนถึงการเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานอาหารโลกที่สำคัญ
ด้วยชื่อเสียงด้านรสชาติ คุณภาพ และความหลากหลายของสายพันธุ์
ทำให้ข้าวไทยกลายเป็นที่ยอมรับในตลาดต่างประเทศ
และครองตำแหน่งหนึ่งในผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลกอย่างต่อเนื่อง
แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความสำคัญของประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตอาหารหลักของโลก
ที่ช่วยสร้างและขับเคลื่อนความมั่นคงด้านอาหาร
ในบริบทของเศรษฐกิจโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
การรักษาและต่อยอดความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทยจึงเป็นภารกิจสำคัญ
โดยเฉพาะในยุคที่ความต้องการอาหารคุณภาพสูงจากทั่วโลกเพิ่มขึ้น
ขณะที่ต้นทุนการผลิตและการแข่งขันจากประเทศคู่แข่งก็ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นเช่นเดียวกัน
โดยข้อมูลจากสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยระบุว่า ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2568
(ม.ค.–ก.พ.) ปริมาณการส่งออกข้าวของไทยอยู่ที่ 1.19 ล้านตัน มูลค่า 26,160 ล้านบาท
โดยปริมาณการส่งออกลดลงถึง 32.9% และมูลค่าส่งออกลดลง 35.1%
ตามลำดับเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2567
หนึ่งในกลยุทธ์ที่เป็นหัวใจสำคัญเพื่อให้เกษตรกรไทยสามารถรักษาและต่อยอดศักยภาพในการผลิตข้าว
คือการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเกษตรที่ทันสมัยมาปรับใช้ ยกตัวอย่างเช่น
การพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ๆ ที่ให้ผลผลิตสูง ทนทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืช
มีคุณค่าทางโภชนาการที่สูงขึ้น รวมไปถึงขั้นตอนของการผลิตข้าว
ตั้งแต่การเลือกพันธุ์ การจัดการแปลง การป้องกันศัตรูพืช
ไปจนถึงการเก็บเกี่ยวและดูแลผลผลิตหลังการเก็บเกี่ยว
เพื่อให้ข้าวที่ได้มีคุณภาพสม่ำเสมอ ตรงตามความต้องการของตลาด
และเพิ่มผลตอบแทนให้เกษตรกรอย่างแท้จริง ดังนั้น การพัฒนาภาคการเกษตรของไทยให้มีความทันสมัย
ยั่งยืน และมีประสิทธิภาพ
จึงเป็นการแสดงความรับผิดชอบในฐานะผู้ผลิตหลักในตลาดอาหารโลก
และเป็นการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับสินค้าข้าวไทยในระยะยาว
ซินเจนทา ประเทศไทย
ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์การเกษตรระดับโลก
จึงเดินหน้ายกระดับอุตสาหกรรมข้าวไทยอย่างยั่งยืน
ผ่านการพัฒนานวัตกรรมสารอารักขาพืช การจัดการดูแลการปลูกข้าวแบบครบวงจร
การจัดการธาตุอาหารให้เหมาะสมกับความต้องการของข้าวในแต่ละระยะการเจริญเติบโต
ไปจนถึงการให้คำแนะนำเชิงลึกจากทีมผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานเคียงข้างเกษตรกรในพื้นที่จริง
เพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิตและมีคุณภาพตรงตามความต้องการของผู้บริโภค
นายพิษณุ อภิราชกมล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท
ซินเจนทา ครอป โปรเทคชั่น จํากัด กล่าวว่า
“เรามีความตั้งใจที่จะช่วยให้เกษตรกรชาวนาไทยสามารถผลิตข้าวเพื่อบริโภคภายในประเทศและส่งออกได้อย่างยั่งยืน
สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก แต่สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่แค่ ปลูกข้าวให้ได้ แต่คือ
ปลูกข้าวให้มีคุณภาพสม่ำเสมอ และตรงกับความต้องการของตลาด
ดังนั้นเราจึงให้ความสำคัญกับการสนับสนุนเกษตรกรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ
ผ่านนวัตกรรมสารอารักขาพืชและสารชีวภาพบำรุงพืชที่คิดค้นและพัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มศักยภาพให้ข้าวไทยมีผลผลิตที่ดีและมีคุณภาพ
เรายังมีทีมผู้เชี่ยวชาญที่ลงพื้นที่ร่วมวางแผนกับเกษตรกรอย่างใกล้ชิด
ตั้งแต่การเตรียมแปลง การเลือกพันธุ์ การจัดการวัชพืช การควบคุมโรคแมลง
การดูแลสุขภาพพืช แม้ในสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมตั้งแต่เริ่มปลูก
ไปจนถึงการเก็บเกี่ยว และการดูแลหลังการเก็บเกี่ยว
เพื่อให้เทคโนโลยีที่มีอยู่ถูกใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพที่สุด”
หนึ่งในโปรแกรมสำคัญของซินเจนทาคือ
“โกรมอร์* – ปฏิบัติการข้าวเกินเกวียน”
ซึ่งเป็นแนวทางการจัดการแปลงนาข้าวอย่างเป็นระบบแบบผสมผสาน
ทั้งในด้านการใช้สารอารักขาพืช การจัดการศัตรูพืช และการดูแลธาตุอาหาร
สารชีวภาพบำรุงพืชที่ดูแลส่งเสริมสุขภาพข้าว ในแต่ละระยะของการเจริญเติบโต
ตั้งแต่ระยะข้าวเล็ก ระยะแตกกอ ระยะตั้งท้อง จนถึงระยะออกรวง
โดยมุ่งเน้นให้เกษตรกรสามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม ปลอดภัย
คุ้มค่าการลงทุนและมีประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งยังได้คิดค้นและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ
ที่เข้ามาช่วยเสริมศักยภาพในการปลูกข้าวให้ได้ผลผลิตดีมีคุณภาพ
รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันศัตรูพืชและโรคพืช ที่กำจัดได้ยาก
ลดการดื้อยา และไม่กระทบต่อระบบนิเวศ
“การปลูกข้าวให้ได้ผลผลิตดีและมีคุณภาพในยุคนี้
ไม่ใช่แค่การใส่ปุ๋ยหรือพ่นยาแบบที่เคยทำมา
แต่ต้องใส่ใจและดูแลทุกขั้นตอนอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในพื้นที่ของเรา
ซึ่งมีเวลาปลูกเพียง 60 วัน จึงต้องบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
โชคดีที่ได้ทีมจากซินเจนทาเข้ามาช่วยให้คำแนะนำ ตั้งแต่การวางแผนการจัดการแปลง
ไปจนถึงการใช้โซลูชันที่เหมาะสมกับช่วงวัยของต้นข้าว
ทั้งการควบคุมโรคและแมลงศัตรูพืช การจัดการวัชพืชอย่างแม่นยำ
และการใช้สารชีวภาพที่มีธาตุอาหารสำคัญที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าวอย่างแท้จริง
ทำให้ใบข้าวเขียวสมบูรณ์ตั้งแต่ระยะต้น รวงแน่น น้ำหนักดี
ที่สำคัญคือการใช้ผลิตภัณฑ์ในปริมาณที่พอดี
และถูกช่วงเวลาที่เหมาะสมกับพันธุ์และสภาพแวดล้อมของเรา
ก็ช่วยลดต้นทุนได้มากขึ้นด้วย” นางสาวปราณี สวนนุ่ม เกษตรกรชาวนา จ. พิษณุโลก
กล่าว
สำหรับซินเจนทา
ความสำเร็จของเกษตรกรไทยไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขผลผลิต
แต่คือการสร้างคุณค่าใหม่ให้ “ข้าวไทย”
มีความหมายมากยิ่งขึ้นในฐานะอาหารคุณภาพของโลก
พร้อมช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้มีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น
โดยความสำเร็จเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเกษตรกรมีโอกาสเข้าถึงความรู้
เครื่องมือ นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เหมาะสมในทุกขั้นตอนของการเพาะปลูกอย่างแท้จริง
*ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโกรมอร์ – ปฏิบัติการข้าวเกินเกวียน: https://www.syngenta.co.th/gromore