“ปลาสวยงาม”
เป็นสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
เนื่องจากปัจจุบันเทรนด์ของกลุ่มลูกค้าผู้นิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงทั่วโลกหันมาเลือกสัตว์น้ำสวยงาม
เนื่องจากเลี้ยงง่าย ใช้พื้นที่จำกัด และราคาไม่แพง
ปลาสวยงามจึงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้เลี้ยงทั้งในและต่างประเทศ
ซึ่งนอกจากจุดเด่นจะอยู่ที่เลี้ยงดูแลง่าย
ผู้เลี้ยงยังสามารถเพลิดเพลินไปกับการตกแต่งตู้ด้วยการจำลองระบบนิเวศใต้น้ำให้ใกล้เคียงกับธรรมชาติได้ในแบบที่เราต้องการ
ทำให้ผู้เลี้ยงได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากยิ่งขึ้น เหมาะกับวิถีชีวิตผู้คนในยุคมิลเลนเนียม
นายประพันธ์
ลีปายะคุณ รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า
ปลาสวยงามเป็นหนึ่งในสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มขยายตัวในตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง
ประเทศไทยถือว่ามีปัจจัยพื้นฐานที่ได้เปรียบประเทศคู่แข่งขันในหลายด้านทั้งในเรื่องความพร้อมทางศักยภาพของเกษตรกร
เทคนิคการเพาะเลี้ยง การพัฒนาสายพันธุ์ ลักษณะภูมิประเทศ
และภูมิภาคอากาศที่เหมาะสม ฯลฯ
ล้วนแต่เป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นอยู่ในระดับประเทศผู้ส่งออกปลาสวยงามที่สำคัญอันดับต้นๆ
ของโลก โดยกรมประมงได้ให้ความสำคัญด้านการเพาะเลี้ยงเชิงพาณิชย์ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์พันธุ์ปลาสวยงามพื้นเมืองของไทย
โดยได้ดำเนินงานภายใต้แผนการพัฒนาการผลิตและการตลาดสัตว์น้ำสวยงาม (พ.ศ. 2565 – 2570) เพื่อขับเคลื่อนให้เกษตรกรมีความพร้อมในการผลิตสัตว์น้ำสวยงามให้เป็นที่ต้องการและได้รับการยอมรับจากตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ
จากรายงานผลการดำเนินงานของกรมประมงพบว่า
ปัจจุบันปลาสวยงามของประเทศไทยได้รับ
การยอมรับในตลาดโลกเป็นอย่างมาก ทั้งในด้านความหลากหลายของสายพันธุ์
ความสวยงาม แปลกใหม่ ราคาไม่แพงเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง
อีกทั้งประเทศไทยยังมีการผลักดันให้ผู้เพาะเลี้ยงปลาสวยงามเข้าสู่มาตรฐานฟาร์มเพื่อควบคุมคุณภาพและการกักกันโรคของปลาสวยงามในการส่งออกให้เป็นที่ยอมรับและได้รับความเชื่อมั่นจากผู้ค้าทั่วโลกมากยิ่งขึ้น
อันจะเห็นได้จากมูลค่าการส่งออกในแต่ละปีที่มากกว่า 700 ล้านบาท โดยประเทศไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกอันดับ 5 ของโลกมีส่วนแบ่งในตลาดโลกร้อยละ 7.38 นอกจากนี้
ด้านการอนุรักษ์
กรมประมงสามารถพัฒนาเทคนิคการเพาะขยายพันธุ์ปลาสวยงามพื้นเมืองของไทยได้เป็นผลสำเร็จหลากหลายสายพันธุ์
อาทิ ปลาปล้องอ้อย ปลาซิวข้างขวาน ปลาก้างพระร่วง ปลารากกล้วย เป็นต้น และมีนโยบายในการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการเพาะเลี้ยงให้เกษตรกรได้มีการเพาะเลี้ยงเพื่อการส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ
เพื่อผลักดันธุรกิจปลาสวยงามควบคู่ไปกับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน
โดยการปลูกสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์สัตว์น้ำพื้นเมืองของไทยไม่ให้สูญพันธุ์ไปจากแหล่งน้ำธรรมชาติ
ด้านนางอรุณี รอดลอย
ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์น้ำและพรรณไม้น้ำสวยงาม กล่าวเพิ่มเติมว่า
ปลาสวยงามไทยเป็นปลาที่ตลาดยังคงต้องการอย่างต่อเนื่อง
โดยจากการสำรวจความต้องการของตลาดพบว่าปลาสวยงามที่ได้รับความนิยม ได้แก่
1.ปลากัด
:
ปลาสวยงามที่มีปริมาณการส่งออกสูงเป็นอันดับ 1
ของประเทศ ได้รับความนิยมในตลาดต่างชาติ
จนกลายเป็นอีกหนึ่งทูตวัฒนธรรมที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยซึ่งเป็นแหล่งผลิตปลากัดใหญ่ที่สุดในโลก
โดยผลิตและส่งออกปลากัดไปกว่า 80 ประเทศทั่วโลก อาทิ
สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส สิงคโปร์ จีน อิหร่าน ฯลฯ
ปริมาณการส่งออกปลากัดเฉลี่ยมากกว่า 20 ล้านตัวต่อปี
สร้างรายได้ให้ประเทศปีละกว่า200 ล้านบาท
จุดเด่นของปลากัดไทยที่ได้รับความนิยมจากทั่วโลก คือ
มีลักษณะของครีบหางที่มีความหลากหลายทั้งครีบสั้นและครีบยาวหางแบบพระจันทร์ครึ่งดวง
(Halfmoon) หางมงกุฎ (Crowtail) 2 หาง
(Doubletail) หรือที่มีครีบหูใหญ่ เช่น หูช้าง (Bigears/Dumbo)
รวมไปถึงสีสันที่มีความสวยงามฉูดฉาดสะดุดตา
อีกทั้งยังใช้พื้นที่น้อย เลี้ยงง่าย จึงเหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแล
ปัจจุบันเกษตรกรไทยได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ให้แปลกใหม่ สวยงาม
โดยเฉพาะสีสันที่สามารถเลือกเพาะปลาให้มีสีตามที่ต้องการได้ ยกตัวอย่าง
ปลากัดสีธงชาติ ซึ่งนอกจากจะมีสีขาว
น้ำเงิน แดง อยู่ในตัวเดียวกัน
ยังสามารถทำให้สีเรียงต่อกันคล้ายธงชาติไทยได้อีกด้วย
2. ปลาหางนกยูง
:
ปลาสวยงามที่ได้รับความนิยมเลี้ยงกันแพร่หลายทั้งตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ
เป็นปลาที่มีสีสันสวยงาม ราคาไม่แพง เลี้ยงง่ายโตไว แพร่พันธุ์ได้ง่าย
ออกลูกเป็นตัว ผู้เลี้ยงนิยมนำมาเลี้ยงในตู้พรรณไม้น้ำ
มีปริมาณการส่งออกอันดับต้นๆ และมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกๆ
ปี โดยสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันมีประมาณ 5
สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ Cobra (คอบร้า) Tuxedo (ทักซิโด้) Mosaic (โมเสค) Grass (กร๊าซ) และ Albino Solid (
เช่น Full Red) ปัจจุบันเกษตรกรไทยได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ปลาเหล่านี้ให้มีลักษณะสวยงาม
แข็งแรง สมส่วน ครีบหางใหญ่ และที่สำคัญมีสีสันลวดลายตรงตามสายพันธุ์
รวมทั้งมีการพัฒนาให้มีสายพันธุ์ใหม่ อาทิ ปลาหางนกยูงหูช้าง (Bigears
Goppy)
3. ปลาซิวข้างขวาน
: ปลาสวยงามทางเศรษฐกิจอีกชนิดที่ได้รับความนิยมอันดับต้นๆ จากผู้เลี้ยงปลาสวยงาม
โดยส่วนใหญ่นิยมนำมาเลี้ยงในตู้พรรณไม้น้ำ
เนื่องจากปลาชนิดนี้มีลักษณะสวยงามและสะดุดตาตรงลำตัวที่มีแถบสีดำคล้ายรูปขวาน
เหนือครีบท้องยาวจรดโคนหาง อีกทั้งยังเป็นปลาที่มีขนาดเล็ก
ชอบว่ายน้ำรวมกันเป็นฝูง มีสีสันสวยงาม
เมื่อนำไปเลี้ยงในตู้พรรณไม้น้ำจะทำให้ตู้ไม้น้ำโดดเด่นมากยิ่งขึ้น
จึงทำให้เป็นที่ต้องการของตลาด มีมูลค่าการส่งออกปีละเกือบ 1
ล้านตัว รวมมูลค่าประมาณ 3.5 ล้านบาท/ปี และยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมมี 2 ชนิด ได้แก่ 1.ซิวข้างขวานเล็ก 2.ซิวข้างขวานใหญ่
เป็นปลาที่พบได้มากทางภาคใต้ ในแถบจังหวัดตรัง พัทลุง
และถูกจับจากธรรมชาติขึ้นมาเพื่อส่งออกจำหน่ายทั่วโลก
ส่งผลให้ปลาซิวข้างขวานในธรรมชาติมีจำนวนลดน้อยลง
ปัจจุบันกรมประมงสามารถเพาะพันธุ์ปลาซิวข้างขวานเพื่อปล่อยคืนสู่ธรรมชาติสำเร็จพร้อมพร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้สู่เกษตรกรเพื่อผลักดันให้เป็นปลาเศรษฐกิจเพื่อทดแทนการจับจากธรรมชาติ
4. ปลาก้างพระร่วง
: ปลาสวยงามพื้นเมืองไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดโลกเป็นอย่างมาก
จัดเป็นปลาสวยงามที่ถูกจับขึ้นมาใช้ประโยชน์จากธรรมชาติและส่งออกปีละมากกว่า 1 ล้านตัว สร้างรายได้เข้าประเทศปีละไม่ต่ำกว่า 8.7
ล้านบาท ด้วย
ลักษณะที่เด่นแตกต่างจากปลาทั่วไปโดยจุดเด่นจะอยู่ที่ลำตัวใสเหมือนกระจกสามารถมองทะลุเห็นก้างกลางลำตัว
ปลาก้างพระร่วงจึงมีชื่อสามัญว่า Glass catfish ปัจจุบันผลผลิตปลาก้างพระร่วงได้มาจากการรวบรวมจากธรรมชาติเพียงอย่างเดียวโดยพบได้ในภาคตะวันออก
และภาคใต้ของประเทศไทย โดยกรมประมงสามารถเพาะพันธุ์ได้แต่ยังมีอัตราการอดไม่สูงมาก
ปัจจุบันกรมประมงได้ถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับเกษตรกรให้มีการเพาะเลี้ยงเพื่อการส่งออก
และกรมประมงมีการอนุรักษ์โดยกำหนดแผนการใช้ประโยชน์ทรัพยากรปลาก้างพระร่วงได้อย่างยั่งยืนโดยภาคประชาชนมีส่วนร่วม
5. ปลาทอง
: เป็นปลาสวยงามได้รับความนิยมเป็นอย่างมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ
โดยเฉพาะในบ้านเราที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามสวยงามทั้งประดับตกแต่งสถานที่
บางรายยังเลี้ยงเพื่อเสริมฮวงจุ้ยตามความเชื่อที่ว่าจะช่วยเรียกเงินเรียกทองให้กับผู้เลี้ยง
และด้วยลักษณะลำตัวและสีสันที่ต่างกันเมื่อว่ายอยู่ในตู้
มองแล้วดูแล้วสวยงามสบายตา มีชีวิตชีวา ทำให้ผู้เลี้ยงผ่อนคลาย
จึงทำให้ตลาดมีความต้องการเป็นอย่างมาก
ปัจจุบันปลาทองเป็นปลาสวยงามอีกหนึ่งชนิดที่มีมูลค่าการส่งออกสูงอยู่ในอันดับต้นๆ
ประเทศไทย เป็นแหล่งผลิตปลาทองส่งออกที่สำคัญ
มีพื้นที่เลี้ยงส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดราชบุรีเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงปลาทองไทยสามารถพัฒนาสีสันปลาทองให้มีความสวยงามแปลกใหม่ได้อยู่เสมอ เช่น ปลาทองคาริโคะ (Calico goldfish) ปลาทองลายเสือ (Tiger goldfish) ปลาทอง Oranda
ShortTail เป็นต้น
รองอธิบดีกรมประมง
กล่าวในตอนท้ายว่า “ประเทศไทย”
นับเป็นแหล่งผลิตปลาสวยงามที่มีการผลิตเพื่อการส่งออกเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
ซึ่งนอกจากการพัฒนาสายพันธุ์ปลาให้สวยงาม แปลกใหม่เพื่อกระตุ้นความต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่อง
กรมประมงยังให้ความสำคัญกับการผลักดันให้เกษตรกรสร้างมาตรฐานในการผลิตสินค้าด้วย
อาทิ มาตรฐาน GAP และสถานประกอบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเพื่อการส่งออก
(สอ.3) ซึ่งจะเฝ้าระวังเรื่องโรงปลาสวยงามที่เป็นข้อกำหนดในการนำเข้าจากประเทศคู่ค้า
เพื่อเป็นการสร้างโอกาสทางการขายให้กับปลาสวยงามให้ลูกค้าเชื่อมั่นว่า
ปลาสวยงามไทยสวยการันตีด้วยมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในตลาดโลก สำหรับ ผู้สนใจสอบถามการขอขึ้นทะเบียนหรือมาตรฐานหรือปรึกษาเกี่ยวกับการเลี้ยงปลาสวยงาม
สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
กลุ่มวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำสวยงามและพรรณไม้น้ำ กรมประมง
เบอร์โทรศัพท์ 02 – 579-1862 และสามารถติดตามข่าวสารด้านการเพาะพันธุ์สัตว์น้ำสวยงามและกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง
ได้ที่ Facebook page : กลุ่มวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำสวยงามและพรรณไม้น้ำ